เอเอฟพี/เอพี - เกิดเหตุเครื่องบินใบพัดขนาดเล็กระเบิดไฟลุกท่วมไม่นานหลังขึ้นบิน และตกลงในทุ่งที่อยู่ใกล้กับสนามบินกรุงเนปีดอ ในวันนี้ (10) ทำให้เจ้าหน้าที่ทหาร 5 นาย ที่โดยสารเครื่องบินลำเกิดเหตุ เสียชีวิตทั้งหมด ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่
หนึ่งในเจ้าหน้าที่ทหารที่ประสบเหตุถูกดึงออกจากซากเครื่องบินที่ไฟกำลังลุกไหม้ขณะยังมีชีวิตอยู่ และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่เสียชีวิตในเวลาต่อมา ตามคำแถลงบนเพจเฟซบุ้คของกองทัพพม่า
"เจ้าหน้าที่สนามบินกรุงเนปีดอ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง เจ้าหน้าที่กองทัพอากาศ และประชาชนในพื้นที่ ต่างช่วยกันดับไฟ" คำแถลงบนเพจเฟซบุ้คระบุ และให้ข้อมูลเพิ่มว่าสาเหตุของเครื่องบินตกอยู่ในระหว่างการสอบสวน
ผู้คนจำนวนหลายร้อยคนมุงดูเหตุการณ์ ขณะที่เจ้าหน้าที่เร่งดับเพลิงและค้นหาผ่านซากเครื่องบิน ตามการระบุของผู้สื่อข่าวที่อยู่ในพื้นที่
เครื่องบินโดยสารบีชคราฟต์ (Beechcraft) ขึ้นบินจากสนามบินกรุงเนปีดอในช่วงสายของวันเพื่อบินลาดตระเวนตามกำหนด แต่เกิดระเบิดไฟลุกไม่นานหลังออกจากรันเวย์ ตามการระบุของเจ้าหน้าที่สนามบิน ที่ไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับเครื่องบินทหาร
กระทรวงข้อมูลข่าวสารได้เผยแพร่ภาพถ่ายชุดหนึ่งที่เผยให้เห็นซากเครื่องบินที่เหลือเพียงปีกข้างหนึ่งและกลุ่มควันหนาจากซากเครื่องบิน
.
.
ก่อนหน้านี้ เอพีรายงานอ้างคำกล่าวของพล.อ.อ่อง เย วิน จากสำนักงานผู้บังคับบัญชากองทัพพม่า ได้เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทหารยศพันตรี 1 นาย ร้อยเอก 2 นาย และสิบโท 1 นาย ส่วนผู้ที่รอดชีวิตในตอนแรกก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมานั้นมียศสิบโท
หม่อง ทิน เกษตรกรในพื้นที่กล่าวว่า เขากำลังทำงานอยู่ตอนที่เขาเห็นเครื่องบินตก และได้วิ่งไปที่เครื่องบิน พยายามทุบกระจกบานหนึ่งของเครื่องบินด้วยจอบเพื่อนำตัวผู้โดยสารออกมาจากเครื่องบิน
"ตอนที่ผมทุบกระจกและดึงหนึ่งคนในนั้นออกมาก ไฟลุกท่วมเครื่องบินไปหมด" หม่อง ทิน กล่าว
พม่ามีภาคการบินที่จอแจพลุกพล่าน ด้วยส่วนหนึ่งเพื่อชดเชยต่อถนนและทางรถไฟที่ย่ำแย่ของประเทศ ขณะเดียวกัน ข่าวสารเกี่ยวกับเครื่องบินทหารมักไม่ค่อยปรากฎให้เห็น แต่มีเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับเครื่องบินพาณิชย์เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น ในเดือนก.ค. เครื่องบิน ATR72 ของสายการบินแอร์บากัน ที่บรรทุกผู้โดยสาร 49 คน เกิดลื่นไถลออกนอกรันเวย์หลังลงจอดท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนักที่สนามบินนานาชาติย่างกุ้ง.
.
.
.
.
.
.
.
.