เอเอฟพี - ชาวพม่าหลายร้อยครอบครัวถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพแร้นแค้น หลังเจ้าหน้าที่รัฐใช้รถขุดเข้ารื้อถอนชุมชนแออัด ท่ามกลางการแข่งขันช่วงชิงที่ดินที่ทวีความรุนแรงในเมืองที่อุตสาหกรรมกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
การแก้ปัญหาการช่วงชิงอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทหารที่ยังทรงอำนาจ มีแนวโน้มที่จะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ ที่นำโดยพรรคของอองซานซูจี ซึ่งจะเข้านั่งในสภาสัปดาห์หน้า หลังชนะการเลือกตั้งเดือน พ.ย.อย่างถล่มทลาย
ผู้อยู่อาศัยต่างตะโกน และร้องไห้ขณะพยายามที่จะรวบรวมข้าวของออกจากบ้านของตัวเองเมื่อรถขุดเข้าบดขยี้ผนังหลังคาที่ทำจากไม้ไผ่ และสังกะสี ถัดจากโรงงานผลิตเบียร์ของทหารในเขตอุตสาหกรรมทางตอนเหนือของนครย่างกุ้ง
“ตำรวจเริ่มทำลายบ้านตั้งแต่เช้า ทุกอย่างเปียกปอนไปหมด ลูก 2 คนของฉันหนาวสั่นอยู่กลางสายฝน” จี จี วิน เกษตรกรอายุ 29 ปี กล่าว
แม่ลูก 2 รายนี้ ระบุว่า ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่นี้มานาน 19 ปี และเผยว่า ทางการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพียง 1 วันเท่านั้น ก่อนส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคนงานก่อสร้างจำนวนมากเข้ามาในวันอังคาร (26)
ทางการนครย่างกุ้ง กองกำลังตำรวจนครย่างกุ้ง และสำนักงานประธานาธิบดี ต่างปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการไล่ที่ที่เกิดขึ้น
เมืองใหญ่ที่สุดของพม่าแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่เริ่มขึ้นนับตั้งแต่ประเทศอยู่ภายใต้รัฐบาลกึ่งพลเรือนที่เข้าแทนที่รัฐบาลเผด็จการทหารในปี 2554 การลงทุนหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากตอบสนองการปฏิรูปเศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ
เครนจำนวนมากปรากฏให้เห็นที่เส้นขอบฟ้าเมื่อการก่อสร้างเติบโตอย่างรวดเร็ว ถนนสายต่างๆ ที่เคยเงียบเชียบก็คลาคล่ำไปด้วยรถยนต์นำเข้าใหม่ๆ ส่วนโทรทัศพ์มือถือที่ครั้งหนึ่งเป็นอภิสิทธิ์ของคนร่ำรวยกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ก็มีแพร่หลายมากขึ้นในเวลานี้
แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดการช่วงชิงที่ดินในทั่วประเทศ ส่วนค่าเช่าที่ก็พุ่งสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เงินเฟ้อขยายตัว และการหลั่งไหลของผู้คนเข้าสู่เมืองเนื่องจากการเติบโตของโรงงาน สิ่งเหล่านี้ทำให้การหาที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องยากขึ้น
เต๊ต เต๊ต ข่าย สมาชิกรัฐสภาจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ของอองซานซูจี ที่จะเข้านั่งเก้าอี้รัฐสภาในสัปดาห์หน้า กล่าวว่า การขับไล่ที่เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อย และเป็นความท้าทายสำคัญอย่างหนึ่ง
“มันต้องใช้เวลามากที่จะแก้ปัญหาอย่างยุติธรรม” เต๊ต เต๊ต ข่าย กล่าว.
.
.
.
.
.
.