MGRออนไลน์ -- แกร่งดั่งหินผา ยืนหยัดและท้าทาย มั่นคงดุจผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ควบคุมและบัญชา กองทัพที่เข้มแข็ง ประกอบด้วยกำลังพลนับแสนๆ คนในมือ แต่ในนาทีหนึ่งบุคคลที่เป็นผู้นำคนสำคัญของโลกเหล่านั้น พากันหลั่งน้ำตา ไม่ต่างไปจากสามัญชนทั่วไป และ นั่นคือวินาทีสำคัญที่มีให้เห็นไม่บ่อย
วันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แหงสหรัฐ น้ำตานองใบหน้าระหว่างปราศรัยที่ทำเนียบขาว เกี่ยวกับรัฐบัญญัติควบคุมการแพร่กระจายของอาวุธปืนในสหรัฐ ซึ่งรัฐบาลกล่าวว่า เป็นสาเหตุทำให้เกิดความรุนแรง ทำให้สูญเสียชีวิตผู้คนไปนับร้อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กนักเรียนที่ยังไม่รู้อิโหน่อิเหน่
แต่ในขณะเดียวกันรัฐบัญญัติฉบับดังกล่าว ก็ถูกคัดค้านแบบหัวชนฝาจากบรรดาสมาคมเกี่ยวกับอาวุธปืนต่างๆ รวมทั้งอุตสาหกรรมอาวุธปืนอันใหญ่โตในประเทศ ที่ยืนยันสิทธิ์ในการป้องกันตนเองตามรัฐธรรมนูญ
อีกหลายกลุ่มยืนยันว่า ชาวอเมริกันจะต้องติดอาวุธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสหรัฐอเมริกานั้น "สร้างขึ้นมาด้วยปืน" อันหมายถึงสงครามกลางเมืองในศตวรรษที่ 18 ระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้
ปธน.สหรัฐได้กล่าวถึง กรณีมือปืนวัยรุ่นบุกเข้ายิงสังหารหมู่ นักเรียนมัธยมปลายที่เมืองโคลัมไบน์ รัฐโคโลราโด เมื่อปี 2542 ซึ่งทำให้ครูและนักเรียนเสียชีวิตรวม 12 คน ต่อมาได้ยกตัวอย่างกรณีมือปืนบุกเข้ายิงกราด ในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง ที่เมืองนิวตัน รัฐคอนเน็กติกัต เดือน ธ.ค.2555 ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 เสียชีวิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่องไปถึง 20 คน พร้อมครูและเจ้าหน้าที่อีก 6 คน กลายเป็นโศกนาฏกรรมสะเทือนอารมณ์ของคนทั้งโลก .. ปธน.สหรัฐ ได้บรรยาความรู้สึกสะเทือนใจ และ ขอความเห็นอกเห็นใจให้แก่บิดาและมารดาของเด็กที่เสียชีวิต
"ทุกครั้งที่ข้าพเจ้านึกถึงเด็กเล็กๆ เหล่านั้น มันทำให้ข้าพเจ้าคุ้มคลั่ง ..." ปธน.สหรัฐเริ่มน้ำตาซึม เมื่อพูดประโยคนี้
"แต่เรื่องนี้ก็ยังเกิดขึ้นบนท้องถนนในนครชิคาโกอยู่ทุกวัน.." ปธน.สหรัฐกล่าว และ น้ำตาก็พรั่งพรูออกมานองใบหน้า ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง แบบยั้งไม่อยู่ ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว
.
.
นายโอบามาเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมาะที่สุด ที่จะยกตัวอย่างอาชญกรรมในชิคาโก นครใหญ่ที่เคยเป็นถิ่นของอัล คาโปน ทั้งนี้เนื่องจากว่า ก่อนสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสรัฐ ได้เคยเป็นวุฒิสมาชิกจากรัฐอิลลินอยส์ โดยได้รับคะแนนนิยมอย่างท่วมท้น ไม่ต่างไปจากการเลือก ทั้งสองสมัยที่ผ่านมา
เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า น้ำตาของผู้นำที่หลั่งออกมาในขณะอภิปรายชี้นำ รัฐบัญญัติต่อต้านการแพร่ขยายของอาวุธปืนนั้นถูกที่ถูกเวลา และ โดยบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ ก็จึง "ช่วยได้มาก" ช่วยกลบกระแสต่อต้าน และ ให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจ ช่วยให้เห็นภาพ ความรุนแรงในสังคมอันสลับซับซ้อน ที่มีอาวุธปืนเป็นสาหตุ และ เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้หลายคนจะบอกว่า สิ่งที่เห็นถ่ายทอดทางโทรทัศน์ อาจเป็นเพียง "น้ำจาจระเข้" ก็ตาม
สหรัฐเป็นประเทศที่มีสถิตินำหน้าประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับอาวุธปืนที่ประชาชนมีไว้ในครอบครอง ทั้งในด้านจำนวน ชนิดและคุณภาพของอาวุธ ในหลายรัฐอนุญาตให้ประชาชนทั่วไป สามารถครอบครองอาวุธที่ใช้กระสุนคาลิเบอร์เดียวกันกับอาวุธสงครามได้
แต่โอบามาก็ไม่ใช่ผู้นำมหาอำนาจคนแรกที่ ปล่อยน้ำตาออกมาให้สาธารณชนได้เห็น..
*วลาดิมีร์ ปูติน*
.
.
ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) น้ำตานองหน้า ขณะปราศัยขอบคุณบรรดาผู้สนับสนุน ที่บริเวณจตรัสมาเนซเนีย (Manezhnaya) บริเวณพระราชวังเครมลิน ในเดือน มี.ค.2555 ทันทีที่ทราบผลการนับคะแนน ที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ตนเองได้รับเลือกให้กลับคืนดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศเป็นสมัยที่สาม
.
.
จากประเทศที่ถูกโลกตะวันตกและสหรัฐบอยคอต ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ หลังรัสเซียผนวกดินแดนคาบสมุทรไครเมียคืนจากยูเครน เข้าเป็นของรัสเซียอีกครั้งหนึ่ง ปูตินทำให้รัสเซียกลายเป็นประเทศที่ กลับมามีฐานะโดดเด่น เป็นตัวแปรสำคัญบนเวทีโลก ทั้งด้านการเมืองและการทหาร ด้วยการกระโดดเข้าช่วยเหลือรัฐบาลซีเรีย ในสงครามกลางเมืองและสงครามต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลาม ที่เป็นศัตรูร่วมกันของทุกฝ่ายทั่วโลก
นายปูตินเป็นผู้นำรัสเซียที่มาจากการเลือกตั้ง และ เป็นประธานาธิบดีที่มีคะแนนนิยมสูงที่สุดในปัจจุบัน นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แต่ในนาที่หนึ่ง ลูกผู้ชายตัวจริงก็ร้องไห้
*จอร์จ ดับเบิลยู บุช*
.
ตลอดสองสมัยที่อยู่ในตำแหน่ง อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ ที่เคยส่งทหารนับแสนคนไปรบในสงครามในตะวันออกกลาง ได้หลั่งน้ำตาให้สาธารณชนได้เห็นครั้งหนึ่ง คือระหว่างปราศัย ในพิธีมอบเหรียญตราเกียรติยศ แด่ไมเคิล มอนซู สมาชิกหน่วยซีล (SEAL) ของกองทัพเรือ ที่สร้างวีรกรรมถึงสองครั้งในสงครามอิรักเมื่อปี 2549 โดยช่วยชีวิตเพื่อนร่วมทีมขณะถูกฝ่ายข้าศึกโจมตี และ ครั้งที่ 2 ได้ยอมสละชีวิตเพื่อสิ่งเดียวกัน
ก่อนจะได้รับเหรียญตราเกียรติยศ (Medal of Honor) มอนซูเคยได้รับเหรียญซิลเวอร์สตาร์มาแล้ว ปัจจุบันชื่อของเขา ถูกนำไปตั้งเป็นเชื่อเรือพิฆาตชั้นซูมวอลต์ (Zumwaltz-Class) ลำที่ 2 คือ เรือ USS Michael Monsoor, DDG 1001 นั่นคือ เรือพิฆาตรูปทรงสเตลธ์ขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยมีการสร้างให้แก่กองทัพเรือสหรัฐ
*อองซานซูจี*
.
จากแม่บ้านธรรมดาๆ นางอองซานซูจีเดินทางกลับจากอังกฤษเมื่อ 30 ปีก่อน และ เข้าร่วมรณรงค์ต่อสู้ทางการเมือง ถูกจับกุมคุมขัง ถูกนักเลงอันธพาลที่รัฐบาลทหารเลี้ยงดูเอาไว้รุมทำร้าย ถูกขังคุก และ ต่อมาถูกกักบริเวณให้อยู่ในบ้านพัก รวมเป็นเวลากว่า 20 ปี จนกระทั่งมีวันนี้ ซึ่งนางซูจีนำพรรคฝ่ายค้านชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ในต้นเดือน พ.ย.2558 แต่ไม่สามารถจะขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศได้
สื่อตะวันตกเรียกนางซูจีว่า "หญิงเหล็กแห่งเอเชีย" และ ยังมีอีกหลากหลายฉายา ที่ทำให้เจ้าของต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บปวดในจิตใจ ไม่เคยแสดงออกมาให้สาธารณชนเห็น ให้กลายเป็นความอ่อนแอ
แต่ก็มีครั้งหนึ่งระหว่างแถลงข่าวสำคัญเมื่อปีที่แล้ว ที่สำนักงานใหญ่ของพรรค นครย่างกุ้ง นางซูจีฝืนทนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
*คิม จอง อืน*
.
ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำฝีปากกล้า อารมณ์มุทะลุดุดัน โดยอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดินในเกาหลีเหนือ มีรายงานก่อนหน้านี้ว่า นายคิม จอง อืน ได้สั่งประหารชีวิตนายพลแห่งกองทัพผู้หนึ่ง โดยยิงเป้าด้วยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
หลายคนมองนายจองอืนเป็น "คนบ้าแห่งเอเชีย" แต่บางคนก็สะใจในความกล้าบ้าดีเดือด เป็น "มดแดงติดนิวเคลียร์" ที่อาจหาญ กล้าท้าทายช้างสาร เช่นสหรัฐ
แต่ในนาทีที่สำคัญผู้นำที่กล้าหาญที่สุด ก็หลั่งน้ำตาให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นในงานศพของบิดา คือ อดีตประธานาธิบดีคิม จอง อิล ที่จัดขึ้นในกรุงเปียงยางในปี 2554
หลายคนบอกว่า มันเป็นน้ำตาที่สามารถผนึกความเศร้าสะเทือนใจของครอบครัวผู้นำ เข้ากับความเศร้าโศรกของประชาชนทั่วไป ได้อย่างลงตัว
*ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี*
.
อดีตนายกรัฐมนตรี 4 สมัยวัย 75 ปีของอิตาลี เคยหลั่งน้ำตาให้ชาวโลกได้เห็น เมื่อไปเยือนอิสราเอล และ ได้ฟังคำปราศัยโดย นายกรัฐมสนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เจ้าภาพที่กล่าวถึงความกล้าหาญของสตรีชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง ซึ่งได้ออกขัดขวางการจับกุมเด็กๆ ชาวยิวของทหารนาซี เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็คือ มารดาของนายกรัฐมนตรีรอิตาลีคนนี้
นายซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี (Silvio Berlusconi) เคยน้ำตาซึมหลายต่อหลายครั้ง ในการชุมนุมร่วมกับผู้สนับสนุนในกรุงโรมและในที่อื่นๆ ภายหลังถูกศาลแห่งหนึ่งพิพากษาให้จำคุก และพ้นจากการเมือง ในคดีล่วงละเมิดทางเพศ โสเภณีวัยรุ่นคนหนึ่ง
*จัสติน ทรูโด*
.
นายกรัฐมนตรีแห่งแคนาดา ผู้นำหนุ่มแน่นและสุดหล่อ อนาคตไกลที่สุดคนหนึ่งของโลก ต้องเบือนหน้าไป เพื่อปาดน้ำตา ขณะอภิปรายและอ่านรายงานสำคัญ ของคณะกรรมการรัฐสภาชุดหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว จัสติน ทรูโด เป็นบุตรอดีตนายกฯ ปิแอร์ ทรูโด กับ นางมาร์กาเร็ต ทรูโด เจ้าของฉายา "ท่านผู้หญิงนอกทำเนียบ" ผู้อื้อฉาวเมือกว่า 30 ปีที่แล้ว
*คริสทิน่า เคิร์ชเนอร์*
.
อดีตประธานาธิบดีอาร์เจนตินา นางคริสทิน่า อลิซาเบต เฟอร์นันเดซ เด เคิร์ชเนอร์ (Cristina Alisabet Fernandez de Kirchner) ร้องไห้ ขณะโอบกอดบุตรชาย หลังได้รับชัยชนะ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเใอต้นปี 2546
เป็นภริยาอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่งของประเทศ และ เป็นผู้นำสตรีคนที่ 2 นับตั้งแต่นางอิสซาเบล เปรอง (Isabel Martínez de Perón, 1974–76) แต่เป็นผู้นำหญิงคนแรกที่ไปจากการเลือกตั้งโดยตรง และ ได้รับเลือกถึง 2 สมัย ผ่านการต่อสู้ทางการเมืองอย่างโชกโชน
อย่างไรก็ตามน้ำตาที่สาธารณชนได้เห็นในภาพนี้เป็น "น้ำตาแห่งความสุข" หรือ Tears of joy ของหญิงเหล็กแห่งอาร์เจนตินา.