เอเอฟพี - นางอองซานซูจี หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านของพม่า สิ้นสุดการเยือนจีนเป็นครั้งแรกในวันนี้ (14) การเยือนที่ทำให้ได้เห็นการพบหารือกันระหว่างซูจี และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนก่อนการเลือกตั้งพม่าจะมีขึ้นในเดือน พ.ย. นี้
ภาพการเดินทางเยือนจีนของซูจี ถูกโพสต์ลงบนสื่อออนไลน์เผยให้เห็นซูจีพบหารือกับผู้นำจีนและเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์คนอื่นๆ รวมทั้งการเยือนกำแพงเมืองจีน และการฝึกเขียนอักษรจีน
ซูจี ได้เดินทางเยือนกรุงปักกิ่ง มหานครเซี่ยงไฮ้ และมณฑลหยุนหนาน ที่มีแนวพรมแดนร่วมกันกับพม่า
ปักกิ่ง เป็นผู้สนับสนุนสำคัญของอดีตรัฐบาลทหารพม่าขณะที่พม่าถูกตะวันตกคว่ำบาตร ที่ส่วนใหญ่ถูกยกเลิกนับตั้งแต่ปี 2554 และเป็นพันธมิตรต่างชาติที่จำเป็นมากสำหรับการปกครองเผด็จการที่ปราบปรามผู้เห็นต่าง และควบคุมตัวซูจีในบ้านพักเป็นเวลามากกว่า 15 ปี
ซูจี ได้พบกับหลิว จี้เหิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำมณฑลหยุนหนาน ที่เมืองคุนหมิง เมื่อวันเสาร์ (13) ตามการรายงานของหนังสือพิมพ์หยุนนานเดลี่ โดยในระหว่างการพบหารือ ซูจีกล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของมณฑลหยุนหนานเป็นต้นแบบที่มีค่าต่อพม่า
ความเห็นจากสำนักข่าวซินหวาของทางการจีนยังระบุว่า การเยือนจีนของซูจี จะช่วยเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย รวมทั้งความเข้าใจต่อกันระหว่างผู้นำจีน และบุคคลทางการเมืองที่มีชื่อเสียงของพม่า
แต่ความสัมพันธ์ของจีน และพม่าเริ่มตึงเครียดเมื่อพม่าปฏิรูปการเมือง และเปิดเศรษฐกิจสู่ตะวันตก ขณะที่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เหตุไม่สงบชาติพันธุ์ในเขตโกกังของพม่าได้รุกล้ำข้ามแดนเข้าไปยังฝั่งจีน
การเยือนจีนของซูจีมีขึ้นเมื่อพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของซูจี คาดว่าจะทำผลงานได้ดีในการเลือกตั้งปลายปีนี้ และจีนต้องการที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ
ซูจี เดินทางมาตามคำเชิญของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั่งเก้าอี้เลขาธิการใหญ่พรรค ซึ่งผู้นำจีนกล่าวในการพบหารือว่า จีน และพม่าเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร และใกล้ชิดกัน จีนมองความสัมพันธ์จีน-พม่าด้วยมุมมองทางยุทธศาสตร์ และในระยะยาว
“เราหวังและเชื่อว่าฝ่ายพม่าจะรักษาจุดยืนอันมั่นคงของความสัมพันธ์จีน-พม่า และมุ่งมั่นที่จะสานสัมพันธ์มิตรภาพให้ก้าวหน้าต่อไป ไม่ว่าสถานการณ์ภายในประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม” ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าว
นับตั้งแต่พม่าปฏิรูปประเทศในปี 2554 ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้เพิ่มความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ แต่นางอองซานซูจีนั้นไม่สามารถทำหน้าที่ประธานาธิบดีได้ เพราะรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยรัฐบาลเผด็จการทหารห้ามบุคคลที่มีคู่สมรส หรือบุตรเป็นชาวต่างชาติทำหน้าที่ในตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ซูจีพยายามที่จะแก้ไข.