ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ศาลประชาชนนครโฮจิมินห์ ได้ยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในวันศุกร์ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ให้ประหารชีวิต น.ส.สุรชา ชัยมงคล ด้วยการฉีดสารพิษ หลังจากเจ้าตัวได้ให้ทนายความยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายในการไต่สวนคดีในระบบของเวียดนาม ในการพิจารณาคดีร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ยังไม่ทราบกำหนดการประหารชีวิตสาวชาวไทยในขณะนี้
น.ส.สุรชา เดินทางจากประเทศบราซิล และ ถูกจับกุมวันที่ 3 ต.ค.2555 ที่ท่าอากาศยานเตินเซินเญิ๊ต นครโฮจิมินห์ พร้อมโคเคนน้ำหนัก 2 กิโลกรัมที่ซุกไว้ในอัลบั้มรูป จำนวน 2 อัลบั้ม ทางการเวียดนามได้ดำเนินคดีในข้อหา “ขนยาเสพติดผิดกฎหมาย” ซึ่งมีกำหนดโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต และยังขยายผลนำไปสู่การจับกุมหญิงชาวไทยอีกคนหนึ่งที่เดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปพบ น.ส.สุรชา
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดี น.ส.สุรชา ในเดือน ส.ค.2556 ให้ลงโทษประหารชีวิต ต่อมา จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ขอลดหย่อนโทษโดยอ้างว่ากระทำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่ทราบรายละเอียดในแง่กฎหมาย ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ศาลอุทธรณ์สูงสุดได้ทำการไต่ส่วนคดี และยืนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิต
น.ส.สุรชาเกิดปี พ.ศ.2528 หลักฐานของศาลได้บ่งชี้ว่า จำเลยติดต่อกับกลุ่มชายชาวแอริฟกันทางอินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานจนกระทั่งคุ้นเคยกัน ในที่สุดถูกนำไปรู้จักกับหญิงชาวอเมริกาใต้ที่ชื่อ “Miara” (ไม่ทราบสัญชาติ) เพื่อสมัครงานที่ได้ค่าตอบแทนสูง เธอเรียนสำเร็จปริญญาตรีแต่ยังไม่มีงานทำจึงรับทำงานแม้จะไม่ทราบว่าเป็นงานอะไร
เมื่อวันที่ 12 ส.ค.2555 น.ส.สุรชา ถูกนำไปยังเวียดนามเพื่อพบกับชายผิวดำคนหนึ่งซึ่งกล่าวว่าเป็น “ผู้บริหารบริษัทธุรกิจรถยนต์” และจะส่งเธอไปยังประเทศบราซิลเพื่อติดต่องาน อันเป็นเรื่องที่ไม่จริง
ตามรายงานของหนังสื่อพิมพ์ลาวโดง (แรงงาน) ก่อนเดินทางไปยังบราซิล “Miara” ให้เงิน น.ส.สุรชา 1,000 ดอลลาร์ เพื่อให้ไปพบกับชายผิวดำคนหนึ่ง ซึ่งได้นำเธอไปชอปปิ้ง และซื้ออัลบั้มรูปเก่า 2 เล่ม และให้เธอนำไปให้แก่ญาติคนหนึ่งของเขาในนครโฮจิมินห์
จำเลยได้เดินทางจากบราซิลผ่านดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และได้เข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองปกติที่สนามบินเตินเซินเญิ๊ต
เจ้าหน้าที่ศุลกากรเวียดนามได้ตรวจพบอัลบั้มรูปภาพที่น่าสงสัยในกระเป๋าเดินทางหลังจากตรวจโดยละเอียดจึงพบว่า ในนั้นมีโคเคนรวมน้ำหนัก 2 กก. ซุกซ่อนอยู่ จากการสอบสวนขยายผลในภายหลัง เจ้าหน้าที่เวียดนามได้พบว่า โคเคนดังกล่าวมีปลายทางอยู่ที่ประเทศไทยโดยขนผ่านเวียดนามเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ไทย
ตามกำหนดการนั้น น.ส.สุรชา จะต้องเดินทางไปพบกับ “ญาติ” ของผู้จ้างวานซึ่งแท้จริงแล้วเป็นหญิงชาวไทยอีกคนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นผู้ขนโคเคนทั้งหมดต่อไปยังประเทศไทยอีกทอด
อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์สูงสุดยืนยันว่า น.ส.สุรชา จะต้องรับโทษทัณฑ์ตามกฎหมายเวียดนาม เนื่องจากได้กระทำความผิดสำเร็จแล้ว จำเลยไม่สามารถอ้างความไม่เข้าใจกฎหมายเป็นเหตุผลได้ไม่ว่ากรณีใดๆ จึงพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยโดยการฉีดสารพิษตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ลาวโดงกล่าวในเว็บไซต์ข่าวภาษาเวียดนาม.