ASTVผู้จัดการออนไลน์ - หนังสือพิมพ์ของกองทัพประชาชนลาวได้เปิดเผยบางตัวเลขในเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์กว่าครึ่งศตวรรษก่อน เมื่อครั้ง พล.อ.หวอ เงวียน ย้าป (Vo Nguyen Giap) ผู้นำกองทัพเวียดมินห์ กับเจ้าสุพานุวงผู้นำลาวอิสระรวมกำลังพลเข้าตีที่ตั้งทหารฝรั่งเศสในภาคเหนือของลาว รวมทั้งได้เปิดเผยแผนการรุกรบครั้งสำคัญนี้
สื่อของกองทัพลาวเปิดเผยเรื่อนี้ในบทรายงานชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นการร่วมไว้อาลัยอสัญกรรมของวีรบุรุษแห่งชาติของชาวเวียดนาม
พล.อ.หวอ เงวียน ย้าปถึงแก่กรรมอย่างสงบวันศุกร์ที่ 4 ต.ค. ที่โรงพยาบาลทหารในกรุงฮานอย รวมอายุ 102 ปีเศษ
การศึกในภาคเหนือลาวระหว่างกองทัพฝรั่งเศสฝ่ายหนึ่ง กับกองกำลังของเวียดมินห์ภายใต้การนำของ พล.อ.ย้าป กับกองกำลังลาวอิสระบัญชาการโดย “เจ้าชายแดง” อีกฝ่ายหนึ่ง เริ่มขึ้นในวันที่ 8 ก.พ.2496 อันเป็นช่วงปีที่ฝ่ายเวียดมินห์ประสบชัยชนะเหนือฝรั่งเศสมาอย่างต่อเนื่องเป็นขั้นเป็นตอน ในดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศในสงครามเพื่อเอกราช
ขณะเดียวกัน เป็นเป็นช่วงปีที่ฝรั่งเศสเร่งเสริมกำลังพล และอาวุธเข้าสู่เวียดนามภาคเหนือครั้งใหญ่หมายเผด็จศึกฝ่ายต่อต้าน แต่การเลือกเอาเดียนเบียนฟู (Dien Bien Phu) เป็นฐานปฏิบัติการใหญ่กลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง นำไปสู่การพ่ายแพ้ครั้งประวัติศาสตร์ในเดือน พ.ค.2497
ในช่วงปี 2495-2496 สองแขวงภาคเหนือลาวคือ หลวงพระบาง กับเชียงขวางได้กลายเป็นที่ตั้งกองกำลังสนับสนุนของฝรั่งเศสสำหรับการปราบปรามฝ่ายเวียดมินห์ในเวียดนามภาคเหนือ จึงตกเป็นเป้าหมายใหญ่ในการโจมตีเพื่อตัดกำลัง ของ พล.อ.ย้าป
ตามรายงานของกองทัพประชาชนลาว กองกำลังผสมได้เดินทัพเป็น 3 ทาง โดยสายที่ 1 พล.อ.ย้าป กับเจ้าสุพานุวง นำกำลังเคลื่อนจากที่ตั้งทางตะวันตกกรุงฮานอยข้ามพรมแดนไปตามเส้นทางเลข 6 เข้าเมืองซำเหนือ (แขวงหัวพันในปัจจุบัน) ตีกองกำลังฝรั่งเศส และตั้งกองบัญชาการที่นั่น
สายที่ 2 ทหารกองโจรเวียดมินห์จำนวนมากเคลื่อนจากที่ตั้งใน จ.เหงะอาน (Nge An) ปัจจุบันเข้าสู่ลาว เคลื่อนตามเส้นทางเลข 7 สู่แขวงเชียงขวาง เข้าตี และปิดกั้นทางล่าถอยของฝ่ายฝรั่งเศส หนังสือพิมพ์กองทัพประชาชนของลาวกล่าว
สายที่ 3 กองกำลังร่วมได้เคลื่อนจากที่ตั้งในเขตเดียนเบียนฟู เข้าสู่ดินแดนลาว ตามเส้นทางที่กลายเป็นทางหลวงเลข 2E ปัจจุบัน ก่อนล่องไปตามลำน้ำอูที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงทางตอนเหนือเมืองหลวงพระบาง ที่ตั้งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสในภาคเหนือลาว
ฝรั่งเศสจะใช้ลำน้ำสายนี้เป็นเส้นทางลำเลียงสู่เดียนเบียนฟูอีกสายหนึ่ง นอกเหนือจากการส่งกำลังบำรุงทางอากาศ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการรายงานรายละเอียดของเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงนี้โดยสื่อของกองทัพ
“ทหารสัมพันธ์ (กองกำลังร่วม) ลาว-เวียดนาม ได้ปฏิบัติอย่างทันการณ์ในการต่อสู้กับศัตรู และหลัง 1 สัปดาห์ของการต่อสู้ในช่วงระยะทางยาว 270 กิโลเมตรจากซำเหนือถึงทุ่งราบจูม (หลวงพระบาง) สามารถสังหาร และจับศัตรูเป็นเลยได้ถึง 2,000 คน ทั้งยังสามารถปลดปล่อยดินแดนเป็นพื้นที่กว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร มีประชาชนอาศัยอยู่นับแสนคน” หนังสือพิมพ์กองทัพประชาชนกล่าว
เหตุการณ์นี้นับเป็นการประสานสมทบกันครั้งแรกระหว่างกองกำลังเวียดมินห์กับฝ่ายลาวอิสระในการเปิดศึกใหญ่ต่อต้านการยึดครองของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสที่กลับเข้ายึดครองคาบสมุทรอินโดจีนเป็นรอบที่ 2 หลังจากกองทัพพระจักรพรรดิญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามเอเชียบูรพา
.
.
“ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่บรรดาบทเรียนแห่งการนำพา การชี้นำและยุทธวิธีการสู้รบยังคงคุณค่า ถอดถอนเป็นบทเรีย นและปรับใช้ในภารกิจแห่งการปกปักรักษาและสร้างสรรค์พัฒนาสองประเทศลาว-เวียดนามในระยะใหม่ได้เป็นอย่างดีตลอดมา..”
“คุณงามความดีดังกล่าว (ของ พล.อ.ย้าป) ได้จารึกไว้ในภารกิจการปฏิวัติอย่างไม่มีวันลืม” สื่อของกองทัพลาวกล่าว
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะในภาคเหนือลาวเป็นเพียงฉากชุ่มเลือดฉากหนึ่งเท่านั้น สงครามที่ยิ่งใหญ่กว่าเริ่มขึ้นอีก 1 ปีต่อมาที่เดียนเบียนฟู และต้องใช้เวลาหลายเดือนในการพิชิตเจ้าอาณานิคมที่มีกำลังทหารกว่า 45,000 คนกับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยทั้งมีจำนวนมากมายอย่างเทียบกันไม่ได้
ชัยชนะของ พล.อ.ย้าป ที่เดียนเบียนฟู นำไปสู่การประกาศเอกราช และประกาศการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามในวันที่ 3 ก.ย.2497 ซึ่งกลายมาเป็นวันชาติของชาวเวียดนามมาจนทุกวันนี้
ชัยชนะเดียนเบียนฟู นำไปสู่การเจรจาทำสนธิสัญญาเจนีวาครั้งใหม่ ซึ่งได้แบ่งเวียดนามออกเป็นภาคเหนือกับภาคใต้ชั่วคราวจนกว่าฝรั่งเศสจะถอนตัวออกทั้งหมดภายในปีถัดไป และนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปเพื่อรวมประเทศ
แต่เรื่องดังกล่าวไม่เกิดขึ้น และยังทำให้ พล.อ.ย้าป ต้องนำเวียดนามทำสงครามครั้งใหม่ และใช้เวลาอีก 15 ปี กว่าศัตรูตัวใหม่คือ สหรัฐฯ จะยอมถอนออกเวียดนามด้วยความบอบช้ำ
ไกลออกไปจากคาบสมุทรอินโดจีน ชัยชนะเดียนเบียนฟูได้ส่งผลสะท้านสะเทือนไปทั่วโลก กลายเป็นเหตุการณ์ที่จุดประกายให้ดินแดนอาณานิคมต่างๆ ของฝรั่งเศส ทั้งในแอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลางลุกฮือขึ้นทำสงครามเอกราช
ในทางการเมืองระหว่างประเทศ การพ่ายแพ้ที่เดียนเบียนฟู กับการลุกฮือในดินแดนอาณานิคมอื่นๆ ทำให้ฝรั่งเศสอ่อนแอลง และต้องใช้เวลาอีกหลายทศวรรษต่อมาในการฟื้นฟูศักยภาพ ก่อนจะกลับมาเป็นชาติมหาอำนาจหนึ่งได้อีกครั้งหนึ่งเช่นทุกวันนี้.