เอเอฟพี - เหตุความรุนแรงนองเลือดต่อต้านมุสลิมเมื่อไม่นานที่ผ่านมา เกิดขึ้นใกล้กับชายหาดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของพม่า ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เหตุที่เกิดขึ้นสร้างความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของประเทศที่กำลังมุ่งไปสู่ระบอบประชาธิปไตย
หลายวันของความตึงเครียดที่กลายเป็นเหตุนองเลือดในวันอังคาร (1 ต.ค.) ในรัฐยะไข่ ที่กลุ่มม็อบชาวพุทธสังหารชาวมุสลิม 6 คน และจุดไฟเผาบ้านเรือนในเหตุความรุนแรงครั้งล่าสุดที่ปะทุขึ้นในรัฐที่แตกแยกแห่งนี้
เหตุจลาจลเกิดขึ้นห่างจากชายหาดงาปาลี (Ngapali) เพียงไม่กี่กิโลเมตร ชายหาดอันเป็นที่ตั้งรีสอร์ตที่สวยงาม และอยู่ห่างไกลของประเทศ ในฤดูท่องเที่ยวที่เพิ่งเริ่มต้นหลังฤดูมรสุมผ่านพ้นไปเพียงไม่นาน
ชาวต่างชาติที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในพม่าอันเป็นผลจากการปฏิรูปการเมืองนับตั้งแต่การปกครองระบอบทหารสิ้นสุดลงในปี 2554 ที่ทำให้ประเทศหลุดพ้นจากการโดดเดี่ยวภายใต้การปกครองของทหารนานหลายทศวรรษ
เมื่อความตึงเครียดเกิดขึ้นในหลายเมืองเมื่อสัปดาห์ก่อน นักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในรีสอร์ตหรูตามแนวชายหาดงาปาลี ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนต่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นมากนัก
ล็องแบร์ต เดอมูแลง นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศส กล่าวว่า เขาทราบข่าวรายงานความไม่สงบก่อนหน้านี้ และกังวลเล็กน้อยแต่ก็ตัดสินใจที่จะเดินทางมาที่นี่
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้สร้างความรำคาญให้ผมมากนัก ผมรู้สึกดีมาก และไม่ต้องการจะจากที่นี่ไปเลย” นักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสกล่าว
หาดงาปาลี ยังคงปลอดภัยที่จะเดินทางมาเยี่ยมชม ตามคำแนะนำล่าสุดจากสำนักงานต่างประเทศของอังกฤษ แต่นักท่องเที่ยวควรตรวจสอบความเคลื่อนไหว และติดตามอย่างใกล้ชิดกับผู้จัดการการเดินทางในกรณีของสถานการณ์ความปลอดภัย และความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ แต่ไม่แนะนำการเดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆ ของรัฐยะไข่ ที่เกิดเหตุความรุนแรงขึ้น 2 ระลอกเมื่อปีก่อน ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหลายสิบคน และหลายหมื่นคนต้องไร้ที่อยู่
นักธุรกิจท้องถิ่นกล่าวว่า พวกเขากังวลว่าเหตุไม่สงบจะส่งผลกระทบต่อพวกเขา
มัต โม ผู้จัดการโรงแรมเบย์วิว ระบุว่า รูสึกกังวลจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น รวมทั้งการขยายช่วงเวลาเคอร์ฟิวที่ควบคุมความเคลื่อนไหวในระหว่างช่วงเวลา 18.00-6.00 น.
“นี่เป็นเวลาเริ่มต้นฤดูท่องเที่ยว การเคอร์ฟิวส่งผลกระทบต่อเรามากทีเดียว” ผู้จัดการโรงแรม กล่าว
การท่องเที่ยวถูกมองว่าเป็นอุตสาหกรรมเติบโตที่สำคัญสำหรับพม่า ประเทศที่ยังไม่ถูกความทันสมัยเข้าทำลาย
หนึ่งปีก่อนที่รัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ พม่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค ตามรายงานของสถาบันแมคคินซี โกลบอล ที่ประเมินว่า การท่องเที่ยวจะทำเงินให้เศรษฐกิจพม่า 600 ล้านดอลลาร์ และมีการจ้างงาน 270,000 คน
และนับตั้งแต่พม่าถูกมองว่าเป็นปลายทางที่ร้อนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสำหรับผู้ที่กระหายจะเห็นประเทศที่ยังไม่ถูกความทันสมัยทำลายความเป็นธรรมชาติ รวมทั้งการปฏิรูปที่เกิดขึ้น เช่น การเลือกตั้งนางอองซานซูจี เข้าสู่รัฐสภา และการปล่อยนักโทษการเมือง ทำให้พม่าได้รับการต้อนรับกลับสู่ประชาคมโลกด้วยการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ
จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเยือนพม่าทะลุเกิน 1 ล้านคนในปี 2555 และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ได้คาดการณ์ว่า นักท่องเที่ยวอาจมีจำนวนอย่างน้อย 1.52 ล้านคนในปี 2558 ขณะที่สถาบันที่ปรึกษาแมคคินซี ประเมินว่า ภายในปี 2573 ภาคการท่องเที่ยวของพม่าจะทำรายได้สู่เศรษฐกิจประเทศราว 14,100 ล้านดอลลาร์ และมีการจ้างงานประมาณ 2.3 ล้านตำแหน่ง
ฌอน เทอร์เนล ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจพม่า ระบุว่า ความไม่สงบไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อผู้ที่เดินทางในระยะสั้นเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวผจญภัย
“ส่วนในระยะยาวอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้” เทอร์เนล กล่าวและว่า รีสอร์ตชายหาดอาจเสี่ยงมากที่สุดต่อผลกระทบจากความวิตกกังวลในปัญหาความรุนแรง เพราะสถานที่ตั้งที่อยู่ห่างไกล
“ในปัจจุบัน สถานที่เหล่านี้อยู่ห่างไกลตามชายขอบ แต่ในระยะยาวสถานที่เหล่านั้นสำคัญต่อการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวพม่า” เทอร์เนล กล่าว และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเที่ยวซ้ำ
ประชาชนประมาณ 250 คน ถูกสังหาร และมากกว่า 140,000 คน ต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน จากเหตุความรุนแรงระหว่างชาวพุทธ และมุสลิมที่ปะทุขึ้นหลายครั้งในทั่วประเทศนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2555 ที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่
ความเคลื่อนไหวรักชาติของชาวพุทธที่ขยายตัวขึ้น โดยมีหัวหอกเป็นพระสงฆ์หัวรุนแรงภายใต้ชื่อ “969” ถูกกล่าวหาว่าเติมเชื้อไฟความเกลียดชัง และภาพกลุ่ม 969 ปรากฏให้เห็นใกล้กับรีสอร์ตงาปาลี
ความขัดแย้งเหล่านี้เป็นเงาบดบังการปฏิรูปที่ได้รับความชื่นชมอย่างมากของประเทศ และสร้างความวิตกต่อประชาคมโลก
ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ที่เดินทางไปยังเมืองซันด์เว หลังเกิดเหตุนองเลือดเพียง 1 วัน พยายามหาทางที่จะสร้างความมั่นใจให้แก่บรรดากิจการโรงแรมท้องถิ่นในระหว่างการหารือเมื่อวันพฤหัสบดี (3 ต.ค.)
“ทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับการพัฒนาคือ ต้องมีเสถียรภาพ และรัฐบาลจะดำเนินการควบคุมต่อไป เรามีนักลงทุนจำนวนมากที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนที่นี่ หากเราร่วมมือกันกับพวกเขา ธุรกิจก็จะเติบโต ธรรมชาติที่สวยงามของที่นี่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น” เต็งเส่ง กล่าว.