xs
xsm
sm
md
lg

เวียดนามคิดหนักทิ้งจรวดรัสเซียซื้อ “เอ็กโซเซต์” ติดเรือรบล่องหน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

<bR ><FONT color=#000033>วันที่ 17 พ.ค.2530 เรือยูเอสเอสสตาร์ค (USS Stark FFG-31) เรือฟริเกตชั้นโอลิเวอร์ฮาร์ซาร์ดเพอร์รี (Oliver Hazard Perry Class) แบบเดียวกับ 2 ลำที่สหรัฐเสนอให้ไทยฟรีๆ ถูกยิงด้วยจรวดเอ็กโซเซต์โดยนักบินอิรักที่เข้าใจผิด โดน 1 ลูกไม่จมแต่ก็เดี้ยง เหตุการณ์ในอ่าวเปอร์เซียที่กินเวลา 30 วินาทีนี้ทำให้ทหารเรือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เสียชีวิต 37 คน เวียดนามกำลังคิดหนักสำหรับโอกาสเข้าถึงระบบอาวุธยิงเรือของโลกตะวันตกแต่จะต้องทิ้งจรวดค่ายโซเวียต/รัสเซียที่คุ้นเคยและราคาก็ถูกกว่า หลายฝ่ายเชื่อว่าเอ็กโซเซต์ไม่ได้ห่างชั้นมากนักกับจรวด Kh-35E อูราล-อี ของอีกค่ายหรือจรวดฮาร์พูนของสหรัฐ ปัญหาคือสหรัฐยังไม่สามารถขายอาวุธให้เวียดนามได้ แต่ฝรั่งเศสพร้อมจะช่วยติดอาวุธให้กับเรือคอร์แว็ตชั้นซิกมา (Sigma Class) ทั้ง 2 ลำที่ซื้อจากเนเธอร์แลนด์. -- ภาพแฟ้มกระทรวงกลาโหมสหรัฐ. </b>

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เวียดนามกำลังพิจารณาจรวดหลายชนิดเพื่อติดตั้งบนเรือคอร์แว็ตชั้นซิกมา (Sigma Class) ที่สั่งซื้อจากเนเธอร์แลนด์ ซึ่งอาจจะเป็นเรือรบลำแรกของประเทศคอมมิวนิสต์ที่ติดตั้งจรวดเอ็กโซเซต์ของค่ายตะวันตก และจะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ต่างไปจากจรวดนำวิถีตระกูลโซเวียต/รัสเซียที่คุ้นเคย

แม้หลายฝ่ายในเวียดนามจะเชื่อว่า เอ็กโซเซต์ ไม่น่าจะห่างชั้นกันมากนักกับจรวด Kh-35E (อูราล-อี) ของโซเวียต/รัสเซีย ที่ใช้ในปัจจุบัน และเชื่อว่าประสิทธิภาพไม่ห่างกันมากกับจรวดฮาร์พูนของสหรัฐฯ แต่ในขณะที่สหรัฐฯ ไม่สามารถขายอาวุธให้ได้ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ฝรั่งเศสกลับพร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยติดอาวุธให้แก่เวียดนาม

รัสเซียไม่ขัดข้องที่จะขายจรวด “อูราล-อี” (Ural-E) ให้เนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นสมาชิกกกลุ่มนาโต้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ แต่การติดตั้งระบบควบคุมการยิงบนเรือรบค่ายตะวันตกเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน รัสเซียยังต้องการเก็บความลับเทคโนโยลีกลาโหมของตน สำนักข่าวภาษาเวียดนาม “โซฮาออนไลน์” กล่าว

ด้วยสาเหตุดังต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว เรือชั้นซิกมา จึงอาจจะเป็นเรือรบชุดแรกของเวียดนามที่ติดตั้งจรวดเอ็กโซเซต์เป็นอาวุธโจมตีเช่นเดียวกันกับที่ใช้ในกองทัพเรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งราชนาวีไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซียด้วย

ต่างไปจากจรวด Kh-35E เอ็กโซเซต์ มีชื่อเสียงทั่วโลก และมีผลงานผ่านการทดสอบในสนามรบมากต่อมาก ตั้งแต่สงครามฟอล์คแลนด์ ที่อาร์เจนตินาใช้ยิงเรืออังกฤษจมไปหลายลำ จนถึงสงครามอิหร่าน-อิรัก เรือรบสหรัฐฯ อย่างน้อย 1 ลำ เคยถูกอิรักยิงด้วยจรวดฝรั่งเศสเสียหายอย่างหนัก

ถ้าหากเรือคอร์แว็ตซิกมาที่ซื้อใหม่ทั้ง 2 ลำ ติดจรวดเอ็กโซเซต์ก็จะเป็นก้าวสำคัญสำหรับเวียดนาม ในการเข้าหาระบบอาวุธของโลกตะวันตก

ปัจจุบัน เรือรบเกือบทุกชั้นของกองทัพเรือเวียดนามล้วนติดจรวดอูราล-อี รวมทั้งเรือฟรีเกตชั้นเกพาร์ด 3.9 ทั้ง 2 ลำ กับเรือเร็วโจมตีชั้นโมลีนยา (Molnyia-Class Fast Attack Missile Ship) ที่ซื้อจากโซเวียต และต่อขึ้นเองภายใต้สิทธิบัตร
.

.
อย่างไรก็ตาม การติดตั้งระบบจรวดตระกูล Kh-35E บนเรือซิกมายังมีปัญหาทางเทคนิคพื้นฐานที่มีความสำคัญ เนื่องจากท่อยิงจรวดของค่ายรัสเซียจะยาวกว่าของจรวดฮาร์พูน เอ็กโซเซต์ รวมทั้งจรวดอาร์บีเอส-15 (RBS-15) ของสวีเดนด้วย ถึงแม้ว่าตัวจรวดจะมีขนาดสั้นกว่าเล็กน้อยก็ตาม นอกจากนั้น เรือของชาติตะวันตกโดยทั่วไปก็ออกแบบมาใช้กับระบบอาวุธของตะวันตก

ฝรั่งเศส ผลิตเอ็กโซเซต์ MM38 ออกมาในปี 2511 ยิงจากเรือสู่เรือ และในปี 2517 ผลิต MM39 ออกมาอีก 2 บล็อก รวมทั้งเวอร์ชันยิงจากเครื่องบินด้วย ปี 2551 ผลิต MM40 “บล็อก 3” (Block 3) ออกมาเป็นรุ่นล่าสุด ปัจจุบัน จรวดของฝรั่งเศสมีใช้ใน 26 ประเทศทั่วโลก แต่ไม่กี่ประเทศที่ฝรั่งเศสขาย MM40 บล็อก 3 ให้

สำนักข่าวกลาโหมออนไลน์บางแห่งรายงานว่า เรือซิกมาของเวียดนามจะติดตั้ง MM40 บล็อก 2 แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนไปเป็นบล็อก 3 ซึ่งปัจจุบันมีใช้ในกองทัพเรือฝรั่งเศส กรีซ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ โอมาน โมร็อกโก และอินโดนีเซีย
.
<bR ><FONT color=#000033>ภาพเปรียบเทียบเอ็กโซเซต์แบบยิงจากเรือสู่เรือ MM38 รุ่นแรก กับ MM40 บล๊อค 2 ที่พัฒนาต่อมาและ MM40 บล๊อค 3 ในปัจจุบัน ทั้ง 3 รุ่นมีใช้ในกองทัพเรือย่านอเมริกากลาง-อเมริกาใต้หลายประเทศ ของราชนาวีไทยเป็นรุ่นเก่า MM38 มาเลเซียมีทั้ง MM39 และ MM40 บล๊อค 2 และ SM39 ติดเรือดำน้ำชั้นสกอร์ปีนทั้ง 2 ลำ อินโดนีเซียมีทุกรุ่นจนถึง MM40 Block 3 ที่อัปเกรดจากบล๊อค 2 ติดในเรือคอร์แว็ตชั้นเดียวกันกับเรือเวียดนาม. </b>
2
<bR ><FONT color=#000033>อินโฟกราฟฟิกเปรียบเทียบขนาด ความเร็วและระยะยิงของจรวดรุ่นต่างๆ ที่มีใช้ในกองทัพเรือย่านอเมริกากลาง-อเมริกาใต้หลายประเทศ จากบนสุดเอ็กโซเซต์ MM40 Block 2 กับ Kh-35 รัสเซีย ฮาร์พูนของสหรัฐ MM40 Block 2 และ MM38 โอโตมาต (Otomat) จากฝรั่งเศสกับเกเบรียล  (Gabriel) ของอิสราเอล ตอนนี้เวียดนามมี 2 ข้อเลือก คือ Kh-35 ดั้งเดิมหรือไม่ก็เอ็กโซเซต์รุ่นใดรุ่นหนึ่ง. </b>
3
.

ตามบัญชีรายชื่อประเทศที่ใช้จรวดเอ็กโซเซต์ ของราชนาวีไทยเป็นรุ่นเก่า MM38 มาเลเซียมีทั้ง MM38, MM39 รวมทั้ง MM40 Block 2 และ SM39 ติดเรือดำน้ำชั้นสกอร์ปีน อินโดนีเซียมีทั้ง MM38 ติดตั้งบนเรือคอร์แว็ตชั้นฟาตาฮิลลาห์ (Fatahillah Class) และ MM39 รวมทั้ง MM-40 บล็อก 2 ที่อัปเกรดเป็นบล็อก 3 ติดตั้งบนเรือชั้นซิกมาเนเธอร์แลนก์ทั้ง 6 ลำ แบบเดียวกับเรือเวียดนาม

เอ็กโซเซต์ MM40 บล็อก 3 ขับเคลื่อนด้วยเทอร์โบเจ็ต ยิงได้ไกลขึ้นจาก 72 กม. ในบล็อก 2 เป็น 180 กิโลเมตร น้ำหนัก 670 กิโลกรัม ยาว 4.7 เมตร วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ 34.8 มม. น้ำหนักน้อยกว่าบล็อก 2 นอกจากนั้น ยังนำร่องด้วยจีพีเอสได้ซึ่งทำให้มีขีดความสามารถในการยิงโจมตีเป้าหมายบนผืนทวีป

จรวด MM40 Block 3 “ร่อน” ด้วยความเร็วต่ำกว่าเสียงในระยะแรก เรียดผิวน้ำ 5-15 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับสายตาของเรดาร์เฝ้าตรวจทั่วไป เรดาร์จะจับความเคลื่อนไหวได้เมื่อจรวดอยู่ห่างราว 6,000 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่จรวดลดระยะร่อนต่ำลงเป็น 1-2 เมตรจากผิวน้ำ และนำวิถีด้วยเรดาร์ พุ่งเข้าหาเป้าด้วยความเร็วสูงปิดโอกาสสำหรับระบบปืนยิงระยะประชิด หรือ CIWS และระบบจรวดต่อต้านของอีกฝ่ายหนึ่ง

ว่ากันว่า คู่แข่งสำคัญที่สูสีกับจรวดเอ็กโซเซต์มากที่สุดคือ จรวดฮาร์พูน (Harpoon) ของสหรัฐฯ กับจรวด RBS-15 ที่ผลิตในสวีเดน ขณะที่จีนผลิตจรวดในตระกูลอิงยี่ (Yingji) ออกมาเป็นคู่แข่ง

ราชนาวีไทยมีจรวดแบบ C-802A ของจีนติดตั้งบนเรือชุด ร.ล.เจ้าพระยา (แบบ 053/เรือฟรีเกต ชั้นเจียงหู) ที่ซื้อจากจีน ซึ่งก็คือ เวอร์ชันส่งออกของจรวดอิงยี่ 82 (YJ-82) มีขนาดยาวกว่าจรวดฝรั่งเศส และรัสเซียมาก ลำตัวอ้วนกว่า และน้ำหนักมากกว่า ติดหัวรบหนัก 165 กก. ระยะยิง 180 กม. [ปรับปรุงแก้ไข]

ตามข้อมูลทางเทคนิคที่มีการเปิดเผย จรวด KH-35E ยาว 4.40 เมตร สั้นกว่าจรวดเอ็กโซเซต์ แต่วัดขนาดเส้นผ้าศูนย์กลางได้กว้างกว่าจรวดฝรั่งเศส คือ .42 ซม. นั่นคือ อ้วนกว่าแต่น้ำหนักน้อยกว่าคือ 630 กก. ระยะยิง 130 กม. ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ทำให้การติดตั้งต่างกัน และมีท่อยิงขนาดต่างกัน

จรวดรัสเซีย “ร่อน” เหนือระดับน้ำทะเล 10-15 เมตร สูงกว่าจรวดฝรั่งเศส ในระยะต้นนำวิถีด้วย “ระบบเฉื่อย” (ผสมผสานระหว่างไจโรมีเตอร์ กับเอ็กเซเลอเรมีเตอร์) ที่รู้จักกันมานานและยังคงใช้แพร่หลายในการนำร่องเรือ และเครื่องบินหลายรุ่น จะเปลี่ยนไปนำร่องด้วยเรดาร์เมื่ออยู่ห่างจากเป้าหมายราว 20 กม. และลดระยะร่อนต่ำลงเป็น 2-5 เมตร เหนือน้ำขณะพุ่งเข้าหาเป้า ทำให้ยากต่อการตรวจจับโดยระบบอาวุธยิงต่อต้านในระยะประชิด

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2525 ในสงครามฟอล์คแลนด์ อาร์เจนตินายิงจรวดเอ็กโซโซต์ MM39 Block 2 จากเครื่องบินซูเปอร์เอตองดาร์ (Super Etendard) โจมตีเรือพิฆาตเอชเอ็มเอสเชฟฟีลด์ (HMS Sheffield) ของอังกฤษ จรวดพุ่งชนกราบเรือสูงจากระดับน้ำ 2-2.4 เมตร เป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ก่อนทะลุเข้าห้องเครื่องยนต์ ไม่สามารถยืนยันได้ว่าหัวรบของจรวดระเบิดหรือไม่

วันที่ 25 พ.ค. ปีเดียวกัน อาร์เจนตินา ยิงจรวดเอ็กโซเซต์ MM38 จำนวน 2 ลูก โจมตีเรือแอตแลนติกคอนเวเยอร์ (Atlantic Conveyer) ซึ่งเป็นเรือลำเลียงขนส่งขนาด 15,000 ของอังกฤษ จรวดโดนห้องเก็บระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ แต่เรือจมในอีก 3 วันถัดมาขณะถูกลากออกไปจากจุดเกิดเหตุ ทำให้อังกฤษต้องเปลี่ยนวิธีส่งกำลังบำรุงไปยังเรือบรรทุกเครื่องบินโดยทางอากาศแทน
.

<bR ><FONT color=#000033>ท่อยิงจรวดเอ็กโซเซต์ที่ติดตั้งบนเรือรบ.. เมื่อเวียดนามซื้อเรือจากเนเธอร์แลนด์สมาชิกกลุ่มนาโต้ก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับระบบอาวุธที่ต่างจากของค่ายโซเวียต/รัสเซีย<i>โดยพื้นฐาน</i> จรวดรัสเซียใช้ท่อยิงยาวกว่าและใหญ่กว่า นอกจากนั้นแม้รัสเซียยินดีขายจรวด Kh-35 ให้เนเธอร์แลนด์ แต่จะไม่ขายระบบยิงให้ เนื่องจากต้องการรักษาความลับเทคโนโลยีทางกลาโหม เวียดนามมีทางเลือกน้อยลงสำหรับเรือคอร์แว็ตชั้นซิกมา (Sigma Class) ทั้งสองลำ นอกจากจะต้องสั่งให้เนเธอร์แลนด์แก้ไขแบบ. </b>
4
<bR ><FONT color=#000033>จรวด MM40 บล๊อค 2 ขณะยิงจากท่อในภาพที่ไม่ได้ระบุวันถ่าย ชื่อ เอ็กโซเซต์ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเมื่อครั้งสงครามเกาะฟอล์คแลนด์ 30 ปีที่แล้ว ปัจจุบันพัฒนามาไกลกว่าเดิมมากมีประสิทธิภาพการทำลายสูงขึ้น แม่นยำขึ้น ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมามากต่อมาก เวียดนามอาจจะไม่มีทางเลี่ยงอย่างอื่นนอกจากกระโดดเข้าร่วมวงประชาคมจรวดชนิดนี้กับอีก 26 ประเทศทั่วโลก.</b>
5
.

ต่อมา จรวดเอ็กโซเซต์อีกลูกหนึ่งพุ่งเข้าใส่ห้องเก็บเฮลิคอปเตอร์บนเรือพิฆาตอังกฤษอีกลำหนึ่ง โดน ฮ.ที่เติมน้ำมันเต็มที่ขณะเตรียมพร้อมปฏิบัติการทำให้ไฟไหม้เรือเสียหายหนัก ไม่อาจยืนยันได้ว่าหัวรบของจรวดระเบิดหรือไม่

ในช่วงสงครามเกาะฟอลร์คแลนด์ เรือรบกอังกฤษหลายลำก็ติดจรวดเอ็กโซเซต์เช่นกัน

วันที่ 17 พ.ค.2530 ในช่วงสงครามอิหร่าน-อิรัก ฝ่ายอิรักยิงจรวดเอ็กโซเซต์จากเครื่องบินมิราจ เข้าใส่เรือสตาร์ค (USS Stark FFG-31) ซึ่งเป็นเรือพิฆาตชั้นโอลิเวอร์ ฮาร์ซาร์ด เพอร์รี (Oliver Hazard Perry class) ของสหรัฐฯ มีทหารเรือเสียชีวิต 37 คน เจ้าหน้าที่ส่วนอื่นๆ อีก 21 คน ถึงแม้เรือไม่จมแต่ก็ใช้ในการรบไม่ได้อีก เรือสตาร์คได้รับการซ่อมแซมขึ้นใหม่เมื่อลากกลับถึงรัฐฟลอริดา

สหรัฐฯ ไม่ใช่คู่พิพาทในสงครามดังกล่าว รัฐบาลอิรักแถลงว่านักบินเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรือสตาร์คเป็นเรือรบของอิหร่าน

การสอบสวนของคณะกรรมการกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พบความหละหลวมหลายประการบนเรือฟรีเกตลำนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะถูกโจมตีระบบเรดาร์เฝ้าตรวจไม่ได้อยู่ในโหมดทำงาน จนกระทั่งจรวดพุ่งเข้าระยะใกล้ระบบป้องกันจึงตรวจจับได้ แต่ระบบปืนยิงเร็วระยะประชิดฟาลังซ์อยู่ในโหมด “สแตนด์บาย”

เหตุการณ์ครั้งนี้ มีนายทหารระดับสูงผู้รับผิดชอบถูกลงโทษทางวินัย จำนวน 3 นาย รวมทั้งผู้บังคับการเรือ ทั้งหมดขอเกษียณก่อนครบกำหนด

ข้อสรุปสำหรับเวียดนามก็คือ จรวดเอ็กโซเซต์นั้นผ่านการพิสูจน์ในสนามรบมามากมายมีคุณภาพที่เชื่อถือได้ ถึงแม้ราคาอาจจะแพงกว่าจรวดรัสเซีย แต่เป็นทางเลือกน่าสนใจมากเพราะเป็นโอกาสที่กองทัพเรือจะเปิดประตูเข้าสู่ระบบอาวุธของโลกตะวันตก.
กำลังโหลดความคิดเห็น