ปล่อยภาพปริศนา ... เล่นบ้าๆ คนด่าขรมทั้งเมือง

.

ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ภาพตำรวจหนุ่มเวียดนามถ่ายคู่กับศพของหญิงสาวที่ริมฝั่งแม่น้ำแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วในโลกออนไลน์ ผ่านบล็อกต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรศัพท์มือถือ ท่ามกลางเสียงสาปแช่ง และก่นด่าของผู้คน กว่าความจริงจะปรากฏก็นานเกิน... สายเกินไป

ชายหนุ่มเครื่องแบบตำรวจเวียดนามชูสองนิ้วส่งยิ้มให้กล้อง ขณะนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ “ศพลอยน้ำ” ของหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ผู้ชมส่วนใหญ่เข้าใจว่า กระโดดน้ำตาย หรือไม่ก็ประสบอุบัติเหตุทางน้ำ ศพยังดูใหม่ หญิงสาวอยู่ในสภาพนอนหงายหลับตาเกยตื้นอยู่ริมฝั่ง

“ยังต้องการคำบรรยายอีกหรือ?” ผู้อ่านที่ไม่เปิดชื่อเขียนแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กด้วยอารมณ์ความรู้สึกขุ่นเคือง

ยังไม่มีผู้ใดทราบว่าใครเป็นต้นตอนำออกภาพนี้ออกเผยแพร่ แต่ภาพปริศนาปรากฏในอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. และ “ระบาด” ออกไปอย่างรวดเร็วราวกับไวรัส กลายเป็นเรื่องฮอตอย่างน่าประหลาดใจ

จนถึงวันนี้ ในเฟซบุ๊กแห่งหนึ่งมีผู้เข้าชมเกือบ 30,000 ครั้ง มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นกว่า 16,000 ราย และเกือบทั้งหมดเขียนให้ความเห็นในเชิงลบ จำนวนมากก่นประณามและเรียกร้องให้กรมใหญ่ตำรวจ กระทรวงความมั่นคงภายใน ต้องดำเนินการหาตัวตำรวจในภาพไปสอบสวนเอาผิดทางวินัย

อย่างไรก็ตาม เมื่อภาพนี้ตกเป็นข่าวผ่านสื่อต่างๆ ในเวียดนาม เหวียนเตี๋ยนยวุ๋ง (Nguyen Tien Dung) ผู้กำกับการแสดงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งได้ออกตัว ขออธิบายต่อสาธารณชนอย่างเป็นกังวล โดยระบุว่า บุคคลในภาพถ่ายเป็นนักแสดงในภาพยนตร์ของเขา แต่ไม่มีฉากเช่นนี้ในภาพยนตร์

“ศพลอยน้ำ” ในภาพก็เป็นนักแสดงคนหนึ่งที่เข้าฉาก เธอถูกสังหารโดยแก๊งอาชญากรรมค้าหญิงข้ามชาติ และนำศพไปทิ้งน้ำ จนกระทั่งมีผู้ไปพบ และตำรวจไปชันสูตรศพในที่เกิดเหตุ

ทั้งหมดเป็นเรื่องราวในภาพยนตร์ แต่ภาพชูสองนิ้วที่แพร่สะพัดออกไปเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตอยู่ในขณะนี้เป็นเป็นภาพนิ่ง ที่เชื่อกันว่า ทีมงานถ่ายกันเองโดยไม่คาดคิดว่าจะสร้างความเข้าใจผิดได้มากมายถึงขนาดนี้

ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงถ่ายทำต่อไปจนจะถึงต้นปีหน้า ที่ผ่านมา กองถ่ายได้เคร่งครัดเป็นอย่างมาก ทั้งยังไม่เคยมีการเผยแพร่ข่าวสารใดๆ รวมทั้งภาพนิ่ง หรือภาพวิดีโอเกี่ยวกับภาพยนตร์ และในขณะนี้ก็ยังไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ใดๆ

ผู้กำกับรายนี้ได้ขอโทษต่อสาธารณชน และรับปากจะทำการสอบสวนหาต้นตอของภาพ รวมทั้งระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้นเพื่อมิให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก สำนักข่าวภาษาเวียดนาม “เกียนถึกออนไลน์” รายงาน.