.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - นครเกิ่นเทอ (Cần Thơ) กำลังจะเป็นเมืองหนึ่งที่ใช้เจ้าหน้าตำรวจหญิงเข้ากำกับ และควบคุมการจราจรที่นับวันแออัดคับคั่ง หลังจากฝึกอบรมกันมา 1 เดือนเต็ม “จราจรน้ำหวาน” ชุดแรก 20 คน จะเริ่มปฏิบัติงานตามสี่แยกสำคัญต่างๆ ในตัวเมืองสัปดาห์นี้ สำนักข่าวเวียดนามเน็ตรายงานในเว็บไซต์ข่าวภาษาเวียดนามวันอาทิตย์นี้ อ้าง พ.อ.หวี่งเดิ๋วแจง (Huỳnh Đấu Tranh) หัวหน้าตำรวจ นครศูนย์กลางเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง
เกิ่นเทอ ซึ่งเป็น 1 ใน 6 เขตปกครองที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางในกรุงฮานอย กำลังจะเป็นแห่งที่ 3 ของประเทศที่ใช้จราจรหญิงลงปฏิบัติหน้าที่แทนจราจรชายถัดจากกรุงฮานอยกับนครโฮจิมินห์ ที่เริ่มดำเนินการอย่างเป็นระบบในช่วงต้นปีนี้ หลังจากเริ่มทดลองมานานนับปี
การอบรมบ่มเพาะเกี่ยวกับขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจหญิงเพื่อพร้อมออกปฏิบัติการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 มี.ค.นี้ เวียดนามเน็ตกล่าว
เกิ่นเทอเป็นนครใหญ่อันดับที่ 6 ถัดจากโฮจิมินห์ ฮานอย ด่าหนัง หายฝ่อง และนครเหว การจราจรในนครทางภาคตะวันตกเฉียงใต้แออัดขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เปิดใช้สะพานเกิ่นเทอ ในปี 2554 ซึ่งเปิดทะลุทางหลวงสาย 1A (ฮานอย-โฮจิมินห์) ลงสู่ภาคใต้
สะพานเกิ่นเทอข้ามลำน้ำเหิ่ว (Hau) 1 ใน 9 สายน้ำของแม่น้ำโขงที่แยกกระจายกันออกเมื่อไหลเข้าสู่เขตที่ราบใหญ่ปากแม่น้ำ ซึ่งเชื่อมนครเกิ่นเทอกับ จ.หวีงลอง (หรือ “หวีงลมง์” -Vĩnh Long) ต่อไปยังนครโฮจิมินห์ กับจังหวัดอื่นๆ ทางตอนใต้ทั้งหมด
กองบัญชาการความมั่นคงสาธารณะของนครเกิ่นเทอ จะจัดพิธี “ปล่อยแถว” ตำรวจราจรหญิงขึ้นอย่างเป็นทางการ เวียดนามเน็ตกล่าว
ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะการปฏิบัติลานตลอดจนขอบข่ายหน้าที่โดยรวม แต่ในกรุงฮานอยตำรวจจราจรหญิง ทำหน้าที่เพียงกำกับดูแลให้การจราจรเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น ไม่ได้รับมอบหมายงานจับกุม และงานสอบสวนสืบสวน ซึ่งยังคงเป็นหน้าที่ของตำรวจจราจรชายต่อไปเช่นเดิม
การประเมินผลเบื้องต้นหลังปฏิบัติงานมา 1 เดือน ปรากฏว่า การทำหน้าที่ของจราจรหญิงในฮานอยได้ผลน่าพอใจ ผู้ขับขี่เชื่อฟังมากกว่าจราจรชาย ช่วยลดการติดขัดลงได้และยังช่วยทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจเมืองหลวงดีขึ้นโดยรวม อันเป็นจุดประสงค์แรกๆ ในการใช้จราจรหญิงลงพื้นที่
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ช่วงเทศกาลตรุษกลางเดือน ก.พ.เป็นต้นมา จราจรหญิงในฮานอยได้รับมอบหมายงานสายตรวจอีกหน้าที่หนึ่งด้วย สื่อในเวียดนามกล่าว.
ภาพลักษณ์ใหม่ GDVNข่าวการศึกษาเวียดนาม
.
.
.