xs
xsm
sm
md
lg

เยี่ยมฐานจรวด S-75 ฮานอย สอย บี-52 ร่วงกว่าโหล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<bR><FONT color=#000033>ภาพจาก reflectionsofthemekong.blogspot.com ซากเครื่องบิน บี-52 ของสหรัฐฯ ที่ถูกยิงตกด้วยขีปนาวุธ S-75 ดาวินา หรือ SA-2 ยังกองพะเนินอยู่ในสภาพเดิมๆ มาตั้งแต่ปี 2515 ในจุดที่ถูกยิงตกลงมาที่บึงน้ำแห่งหนึ่งในย่านใจกลางกรุงฮานอย เครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ขนาดมหึมาเป็นสิ่งที่กองทัพสหรัฐฯ ภาคภูมิใจ แต่อาจจะไม่เคยคาดคิดว่าจะมีอาวุธชนิดใดยิงให้ร่วงลงได้ในยุคสมัยเดียวกัน บี-52 ถูกยิงตก 15 ลำในสงครามเวียดนาม ยังไม่นับรวมเครื่องบินรบรุ่นอื่นๆ อีกหลายร้อยลำ แซม-2 ของสหภาพโซเวียตมีส่วนสำคัญไม่มากก็น้อย ทำให้ ดร.เฮ็นรี คิสซิงเจอร์ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ต้องชวนฝ่ายเวียดนามกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาที่กรุงปารีสอีกครั้งในปี 2516 และนำมาซึ่งการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากเวียดนามอย่างเป็นขั้นเป็นตอน. </b>

ASTVผู้จัดการออนไลน์ – กรมป้องกันทางอากาศ 218 กรุงฮานอยได้เชิญสื่อเข้าเยี่ยมชมเนื่องในโอกาสเทศกาลขึ้นปีใหม่ประเพณีที่เพิ่งจะผ่านมา ซึ่งเปิดเผยให้เห็นเขี้ยวเล็บสำคัญของกองทัพอากาศประชาชนเวียดนามในการป้องกันประเทศ เช่นเดียวกับเมื่อครั้งสงคราม

สหรัฐฯ อาจจะประเมินผิดไม่คาดคิดมาก่อนว่าเวียดนามมีอาวุธประสิทธิภาพสูงที่สามารถยิงถึงเครื่องบิน บี-52 (B-52) ซึ่งบินในความสูง 3-6 หมื่นฟุตในขณะปฏิบัติการ และทำให้สหรัฐฯ สูญเสียเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ที่ภาคภูมิใจไปกว่า 10 ลำ และ รูปโฉมของสงครามได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

เครื่องบินทิ้งระเบิดยักษ์ทั้งหมดถูกยิงด้วยขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานแบบพื้นสู่อากาศ S-75 “ดาวินา” (Dvina) หรือ “หอก” (Spear) อันเป็นฉายาที่กลุ่มนาโต้ตั้งให้ในทศวรรษถัดมา

แต่เพื่อให้ง่ายขึ้นฝ่ายกลาโหมของนาโตเรียกขีปนาวุธพิสัยใกล้ตัวนี้ว่า SA-2 หรือ SAM-2 ซึ่งได้กลายเป็นระบบอาวุธที่เปลี่ยนรูปโฉมของสงครามทางอากาศ และ ปัจจุบันถูกพัฒนาขึ้นใหม่ให้เป็นระบบอาวุธอีกยุคหนึ่งที่ประสิทธิภาพสูงกว่ายุคแรกๆ

กล่าวได้เต็มปากเต็มคำว่า S-75 ยุคโน้นช่วยให้เมืองหลวงของเวียดนามเหนือในอดีตรอดพ้นจากถูกทิ้งระเบิดจนราบเป็นหน้ากลอง ตามความตั้งใจของฝ่ายสหรัฐฯ สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนามกล่าว

ในช่วง 20 ปีของสงครามเวียดนามระหว่างปี 2508-2518 สหรัฐฯ สูญเสียเครื่องบินรบแบบต่างๆ หลายร้อยลำ ในนั้นนับร้อยลำเป็นผลงานของบรรดาเสืออากาศกับเครื่องมิก-19 และ มิก-21 แต่ส่วนใหญ่เป็นผลงานของระบบจรวดต่อสู้อากาศยานที่ผลิตในสหภาพโซเวียต ในนั้น 320 ลำถูกยิงตกใกล้กับเมืองหลวง อันเป็นผลงานของกรม 218 ในสังกัดกองพลป้องกันทางอากาศ 361

ตามตัวเลขของฝ่ายเวียดนาม มีเครื่องบิน บี-52 หรือ “ป้อมบิน-สตราโตฟอร์เทรส” (Stratofortress) ถูกยิงตกทั้งหมด 15 ลำ ในนั้น 12 ลำ ตกใกล้กรุงฮานอยขณะปฏิบัติการทิ้งระเบิด รวมทั้ง 1 ลำที่ถูกยิงตกลงในบึงหือว์เตียบ (Hữu Tiệp) กลางเมืองหลวง ซึ่งยังคงรักษาไว้ในสภาพเดิมและจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขึ้นที่นั่น มาจนทุกวันนี้

สงครามเวียดนามเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ กับโลกตะวันตกได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่า ไม่สามารถดูแคลนขีดความสามารถระบบขีปนาวุธป้องกันและโจมตีของค่ายโซเวียต ได้อีกต่อไป

"หอก" พิทักษ์ฮานอย Báo Đất Việt
จู่ๆ ในช่วงเทศกาลตรุษที่ผ่านมา กองพลป้องกันทางอากาศก็ได้เปิดกรม 218 ต้อนรับผู้สื่อข่าว ซึ่งโอกาสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ เวียดนามได้อวดโฉมระบบป้องกันทางอากาศของเมืองหลวง รวมทั้งจรวดต่อสู้อากาศยาน S-75 “ดาวินา” (Dvina) ที่เคยให้บทเรียนเจ็บแสบแก่กองทัพสหรัฐฯ ในยุคสมัยนั้น Sa-2 ตัวนี้เป็นอาวุธเพียงชนิดเดียวที่สามารถยิงเครื่องบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์ขนาดยักษ์ของสหรัฐฯ ให้ร่วงลงได้จากความสูงตั้งแต่ 30,000-60,000 ฟุต ในช่วงสงครามมีบี-52 ถูกยิงตกถึง 15 ลำ รวมทั้ง 1 ลำ ที่ถูกยิงตกลงในบึงน้ำใจกลางกรุงฮานอยปี 2515 จรวด S-75 มีส่วนสำคัญทำให้สงครามจบเร็วขึ้น นำมาสู่ชัยชนะของฝ่ายเวียดนามเหนือและการรวมประเทศเข้าด้วยกันในวันนี้


2

3

4

5
ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวกลาโหมออสเตรเลีย ในช่วงทศวรรษที่ 1960 กองทัพประชาชนจีนได้ “โคลน” ระบบ S-75 ของโซเวียตไป และ พัฒนาขึ้นใหม่เป็นของตัวเองเรียกว่า SNR-75 “Fan Song” พร้อมทั้งพัฒนาระบบเรดาร์ให้มีประสิทธิภาพสูงยิ่งกว่าเดิม

กองทัพระชาชนจีนยังใช้ SNR-75 “Fan Song” มาจนถึงปัจจุบันพร้อมปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ขณะเดียวกัน “ดาวินา” ยังใช้ประจำการในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรปตะวันออก แคริบบเบียน อเมริกาใต้ ตะวันออกกลางและในแอฟริกา ถึงแม้ว่าปัจจุบันกองทัพรัสเซียจะ แทนที่ S-75 ด้วย SA10/20 ที่ใหม่กว่าทันสมัยกว่าแล้วก็ตาม

ตามข้อมูลของโลกตะวันตก เวียดนามครอบครองขีปนาวุธ S-75 ทั้งรุ่นใหม่และเก่าอย่างน้อย 360 ลูก

ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เดิ๊ตเหวียด (Báo Đất Việt) ปัจจุบัน “ดาวินา” ของกองทัพประชาชนเวียดนาม ได้พัฒนาเป็นระบบป้องกันทางอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง โดยปฏิบัติการร่วมกับระบบเรดาร์ที่มีความสามารถสูง และเชื่อมโยงเข้าเป็นข่ายเดียวกันกับระบบป้องกัน S-300PMU1 อันใหญ่โต

ระบบ S-300PMU1 ได้รับการยอมรับว่าดีทีสุดระบบหนึ่งในโลกปัจจุบัน มีความสามารถสูง สามารถจับเป้าหมายเคลื่อนที่ได้ไกลกว่า 200 กม.จับเป้าหมายเคลื่อนที่ต่ำเหนือพื้นดินหรือผืนน้ำในระดับ 5 เมตรได้อีกด้วย

นั่นก็คือ ระดับที่จรวดร่อนโทมาฮอว์กของสหรัฐฯ สามารถร่อนเพื่อหลบเลี่ยงเรดาร์ ไปยังเป้าหมายเพื่อทำลาย

กลางปี 2554 ขณะที่ความตึงเครียดกับจีนพุ่งขึ้นสูง กองทัพเวียดนามได้เชิญสื่อเข้าเยี่ยมชมระบบป้องกัน S-30PMU1 หน่วยหนึ่ง ซึ่งไม่เปิดเผยแหล่งที่ตั้ง นัยว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับสังคมในการป้องกันประเทศ

การเปิดหน่วยป้องกันทางอากาศกรุงฮานอยให้ชมในช่วงตรุษที่ผ่านมา เป็นการยืนยันในความพร้อมรบ เพื่อให้เป็นหลักประกันว่า “ประชาชนพร้อม อาวุธและกระสุนพร้อม” สื่อออนไลน์ภาษาเวียดนาม กล่าว

เปลี่ยนโฉมศึกจ้าวเวหา
ภาพจากบึงหือว์เตียบ (Hữu Tiệp) สระน้ำขนาดใหญ่กลางเมืองหลวงของเวียดนาม เป็นภาพเตือนใจโลกตะวันตกให้ตระหนักว่าจะประมาทอาวุธต่อสู้อากาศยานของสหภาพโซเวียตไม่ได้อีก จรวด S-75 หรือ SA-2 ได้ทำให้รูปโฉมของสงครามทางอากาศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นำมาสู่การประดิษฐ์คิดค้นทำอาวุธต่อต้านจรวดต่อสู้อากาศยาน การใช้เทคโนโลยี “ล่องหน” หรือ สเตลธ์ สร้างเครื่องบินรบรุ่นใหม่เพื่อไม่ตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตี การประดิษฐ์ระบบต่อต้านเรดาร์และพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีความเร็วในระดับไฮเปอร์โซนิค เพื่อหนีให้พ้นเมื่อถูกโจมตีด้วยจรวดต่อสู้อากาศยาน แต่ "ดาวินา" ก็ยังคงประจำการอยู่ในหลายประเทศและพัฒนาไม่หยุดยั้งเช่นกัน


6

7

8

9

10

11

12
กำลังโหลดความคิดเห็น