เอเอฟพี - สภาหอการค้าสหภาพยุโรป ระบุวันนี้ (1 ธ.ค.) ว่า เวียดนามกำลังสูญเสียความน่าสนใจในการเป็นประเทศปลายทางลงทุนในภูมิภาค เพราะข้อจำกัดทางการค้า กฎระเบียบใหม่ และเศรษฐกิจ ที่ไม่มีเสถียรภาพ
“นักลงทุนชาวยุโรปกำลังลดระดับความมั่นใจในเวียดนาม” นายอาแลง คานี ประธานสภาหอการค้ายุโรป กล่าวกับผู้สื่อข่าวในการเปิดตัวรายงานประจำปีปัญหาการค้าและการลงทุนในเวียดนาม และว่า นักธุรกิจกำลังมองหาตัวเลือกอื่นๆ ที่น่าสนใจมากกว่า เช่น อินโดนีเซีย ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่และบรรยากาศทางธุรกิจเพิ่งปรับปรุงไปเมื่อไม่นาน
“เราเชื่อว่า เวียดนามกำลังหลังชนฝา” นายคานี กล่าว และว่า ประเทศคอมมิวนิสต์แห่งนี้มีความก้าวหน้าหลายอย่าง แต่เตือนว่า อุปสรรคความท้าทายใหม่ๆ ก็ปรากฏให้เห็นเช่นกัน
รายงานระบุว่า สภาหอการค้ายุโรป กังวลว่า เวียดนามจะยังคงดำเนินมาตรการที่เป็นการจำกัดการค้าต่อไป โดยอ้างถึงระเบียบข้อบังคับที่มีผลบังคับใช้เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับข้อจำกัดนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องสำอาง และโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในท่าเรือ 3 แห่ง รวมทั้งกฤษฎีกาฉบับใหม่ เกี่ยวกับใบอนุญาตทำงานสำหรับพนักงานต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งน่ากังวลสำหรับนักธุรกิจชาวต่างชาติที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนใหม่ๆ ในเวียดนาม
ในการประชุมสภาเมื่อเดือน ม.ค.พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ประกาศยกเครื่องโครงสร้างการเติบโตของประเทศ โดยตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนจากการเป็นประเทศที่พึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานที่ไร้ทักษะ ไปสู่ระบบการผลิตเทคโนโลยีขึ้นสูง และกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมในปี 2563
รายงานระบุว่า นับตั้งแต่เดือน ก.พ.รัฐบาลเวียดนามพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจจากอุปสรรคต่างๆ ที่รุมเร้า เช่น ทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลง การขาดดุลการค้า ค่าเงินด่งที่ปรับลดลง และเงินเฟ้อขยายตัวสูง ด้วยการออกมาตรการต่างๆ เพื่อรับมือ รวมทั้งธนาคารกลางเวียดนามได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง แต่เจ้าหน้าที่ของเวียดนามอาจจะยังไม่ตระหนักถึงความลึกของปัญหา เพราะในระดับพื้นผิวที่ปรากฏให้เห็นเศรษฐกิจยังดำเนินไปด้วยดี ด้วยอัตราการเติบโตร้อยละ 6
“อาจต้องใช้เวลากว่าผู้นำจะตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ได้ดีอย่างที่เห็น” นายคานี กล่าว
นอกเหนือจากข้อแนะนำต่างๆ สภาหอการค้ายุโรป ยังได้เรียกร้องให้เวียดนามดำเนินการคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน