ต่างชาติมองประชุมพรรคฯ ลาวคานอำนาจสายเวียดนาม-จีน

เอเอฟพี - พรรคประชาชนปฏิวัติลาวเปิดประชุมสมัชชาใหญ่พรรคฯ ที่จัดขึ้นทุก 5 ปี วานนี้ (17 มี.ค.) ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างชาติกล่าวว่าในการประชุมครั้งนี้จะเห็นถึงการต่อสู้ทางอำนาจระหว่าง 2 ฝ่ายที่สนับสนุนเวียดนามและสนับสนุนจีน

แผ่นป้ายการประชุมสีแดงถูกติดตั้งไว้ทั่วนครเวียงจันทน์ที่ผู้แทนพรรคทั้ง 576 คน รวมตัวกันในเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมการประชุมจนถึงวันที่ 21 มีนาคม และเลือกสมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองศูนย์กลางพรรคชุดที่ 9 ที่จะดำรงตำแหน่งในวาระปี 2554-2559 คณะผู้แทนที่มาจากสมาชิกพรรคทั้งหมด 191,700 คน จะทำหน้าที่พิจารณาผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญของพรรค คือ เลขาธิการใหญ่พรรค ซึงในปัจจุบันคือพลโทจูมมะลี ไซยะสอน และมีโอกาสที่จะดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเดือน ธ.ค. 2553 ที่ผ่านมา ที่นายบัวสอน บุบผาวัน นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง และนายทองสิง ทำมะวง ประธานสภาแห่งชาติ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทนนั้น นักวิเคราะห์กล่าวว่า การแต่งตั้งมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนกลุ่มที่หนุนเวียดนามในพรรคและบรรดาผู้ที่ระแวดระวังการลงทุนจากจีนที่หลั่งไหลเข้ามาในประเทศ

นายมาร์ติน สจ๊วต-ฟ็อกซ์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประเทศลาวจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย กล่าวว่า การสับเปลี่ยนตำแหน่งทำให้พรรคยังคงรักษาความสัมพันธ์กับเวียดนามไว้ได้อย่างแนบแน่น และว่าความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างลาวและเวียดนามยังคงแน่นแฟ้นดังเดิม เนื่องจากนายทองสิงมีความใกล้ชิดกับเวียดนามมากกว่านายบัวสอน

ทั้งรัฐบาลเวียดนามและจีนต่างมีอิทธิพลต่อลาว ที่เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกด้วยจำนวนประชากรประมาณ 6 ล้านคน และบทบาททางเศรษฐกิจของจีนในลาวเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากประโยชน์ในด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ยาง และการเข้าถึงทางภูมิศาสตร์ที่ลาวเชื่อมต่อกับไทย

อิทธิพลของจีนสร้างความกังวลให้กับสมาชิกพรรคบางส่วนและชาวเวียดนามที่มองลาวว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ ซึ่งการปรากฎตัวของจีนที่เพิ่มมากขึ้นนี้สร้างความกังวลให้กับเวียดนามยิ่งขึ้นไปด้วย และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เวียดนามติดอันดับ 1 ใน 3 นักลงทุนต่างชาติในลาวร่วมกับจีนและไทย

การประชุมสมัชชาครั้งนี้จะลงมติแผนพัฒนาเศรษฐกิจสำหรับปี 2554-2558 ที่มีเป้าหมายที่หลุดพ้นจากความด้อยพัฒนาภายในปี 2563 หลังเศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นอย่างน้อย 7% ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้.