เอเอฟพี - ศาลเวียดนามพิพากษาตัดสินเมื่อวันพุธ (20 ม.ค.) ที่ผ่านมาให้จำคุก 16 ปี กลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล และ พยายามล้มล้างระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ ที่ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสหรัฐฯและอังกฤษ
หลังการพิจารณาโทษนานตลอดทั้งวันที่ผ่านมา นายเลกงดี่ง (Le Cong Dinh) ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน อายุ 41 ปี นายเหวียนเตี๋ยนจุง (Nguyen Tien Trung) บล็อกเกอร์หนุ่มวัย 26 ปี นายเจิ่นฮวี่งดึ๊กถึก (Tran Huynh Duy Thuc) เจ้าของกิจการอินเทอร์เน็ตอายุ 43 ปี และนายเลทังลมง์ (Le Thang Long) อายุ 42 ปี ถูกตัดสินแระทำความผิดในข้อหา "ดำเนินกิจกรรมที่มีเป้าหมายล้มล้างคณะรัฐบาลของประชาชน"
นายถุกถูกตัดสินรับโทษจำคุก 16 ปี ส่วนนายจึงได้รับโทษจำคุก 7 ปี ในขณะที่นายดี่งและนายลมง์ ต้องโทษจำคุกคนละ 5 ปี ศาลมีประกาศเรื่องนี้ในวันพุธ ซึ่งกลุ่มผู้กระทำผิดอาจอาจได้รับโทษประหารชีวิต
อย่างไรก็ตามหลังจากทุกคนรับโทษจำคุกจนครบกำหนดแล้ว พวกเขาจะถูกควบคุมตัวอยู่ภายในบ้านนาน 3 ปี และ 5 ปีสำหรับนายถึก
คดีที่เกิดขึ้นนี้เป็นคดีความชั้นสูงที่มีการจับกุมการกระทำผิดของเหล่าบล็อกเกอร์อยู่หลายครั้งในความพยายามจะล้มล้างระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ในเวียดนามมาเป็นเวลาหลายปี
"การกระทำของจำเลยเป็นอันตรายมากสำหรับสังคมและยังละเมิดต่อความมั่นคงของชาติ" ผู้พิพากษาเหวียนดึ๊กโซว (Nguyen Duc Sau) กล่าว
ผู้พิพากษาพบความผิดจากการกระทำของบล็อกเกอร์เหล่านี้ ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น แต่ก็มีการวางแผนและการบริหารจัดการอย่างดี โดยมีเป้าหมายที่จะล้มอำนาจของรัฐบาลจากการช่วยเหลือผ่านทางอินเทอร์เน็ตและจากการสมรู้ร่วมคิดกับองค์กรเคลื่อนไหวในต่างประเทศ
ญาติของผู้ถูกกล่าวหา ผู้สื่อข่าวต่างชาติ และทูตประเทศต่างๆ ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมฟังในห้องพิจารณาคดี แทนที่จะรับชมผ่านทางกล้องวงจรปิดเหมือนทุกครั้ง ขณะที่ตำรวจหลายสิบนายได้อยู่ประจำการโดยรอบอาคารศาลในนครโฮจิมินห์
จำเลยถูกจับกุมระหว่างเดือนพ.ค. -ก.ค.ในปี 2552 ที่ผ่านมา
หลังจากการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น นายเคนเน็ธ แฟร์แฟ็กซ์ (Kenneth Fairfax) กงสุลใหญ่สหรัฐฯ กล่าวว่า "เราต้องการเน้นย้ำถึงความกังวลของเรามากกว่าการจับกุมและลงโทษบุคคลที่แสดงออกในความเชื่อทางการเมืองอย่างสันติ"
ส่วนทางอังกฤษ นายไอแวน ลูวส์ (Ivan Lewis) รัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวว่าเขามีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการตัดสินความผิดจำคุก
"ไม่มีใครที่ควรจะถูกจำคุกเพราะแสดงความคิดเห็นอย่างสันติ เสรีภาพในการแสดงออกและความคิดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการผลักดันให้เศรษฐกิจและสังคมมีความเฟื่องฟู คำพิพากษาเหล่านี้จะเป็นการทำร้ายความเข้าใจของนานาชาติที่มีต่อเวียดนามมากกว่า"
แม้จำเลยทั้งหมดจะไม่ได้แก้ต่างในคำฟ้องอย่างเป็นทางการ แต่นายดี่งกับนายจุงให้การต่อศาลโฮจิมินห์ว่าพวกเขาได้ละเมิดกฎหมายตามที่ถูกพิจารณาตัดสินว่าผิดจริง แต่นายดี่งยืนยันว่าเขาได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนของตะวันตกและไม่มีเจตนาที่จะล้มล้างรัฐบาลอย่างที่กล่าวหา
ส่วนนายถึกที่ฝ่ายโจทก์ระบุว่าเขาเป็นบุคคลที่กระทำการท้าทาย และ ถูกตัดสินมีความผิดรุนแรงที่สุดในกลุ่ม กล่าวว่า "พฤติกรรมของผมไม่ได้ละเมิดกฎหมาย" พร้อมทั้งกล่าวเพิ่มเติมว่าเขาถูกกระทำทรมานในระหว่างการสอบสวนด้วย
ฝ่ายโจทย์กล่าวหาว่า นายถึกจัดตั้งองค์กรวิจัยสังคม-เศรษฐกิจที่สรุปว่าประเทศเวียดนามจะติดขัดจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2553 นี้ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
จำเลยทั้งหมดยกเว้นนายลมง์ ถูกกล่าวหาว่ามีการเชื่อมโยงกับพรรคประชาธิปไตยเวียดนาม (DPV) ที่ถูกยุบไปแล้ว ซึ่งนายดี่งยืนยันว่าเขาต้องการสร้างระบบการเมืองแบบหลายพรรค
จำเลยทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าได้มีการจัดทำเอกสารและบล็อกต่อต้านรัฐขึ้นมาหลาย 10 แห่ง
สำหรับนายดี่ง ยังถูกกล่าวหาว่าทำการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ขณะที่นายจุงจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวเยาวชนเพื่อประชาธิปไตยกับนักเรียนในประเทศฝรั่งเศส
ส่วนนายลมง์มีความผิดน้อยที่สุดจากการเป็นสมรู้ร่วมคิด โดยทั้งลมง์และนายถึก เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่จัดการสนทนาถึงประเด็นปัญหาสังคม-เศรษฐกิจ และหนทางในการพัฒนาประเทศ
ฝ่ายโจทก์ยังอ้างถึงการกระทำของนายลมง์ ที่เขายอมรับกับศาลว่าได้ทำการเขียนบทความและส่งไปยังสถานีวิทยุต่างประเทศ แต่นายลมง์กล่าวว่าเขาถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม
"ผมคิดว่าการสนทนาของผมเป็นเรื่องปกติทั่วไปและเป็นสิทธิความเป็นพลเมืองของผม" นายลมง์กล่าว.