ASTVผู้จัดการรายวัน— ถ้าหากเกิดการปะทะกันอีกครั้งหนึ่งระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาในเขตแดนพิพาททางด้านเขาพระวิหาร การสู้รบอาจจะมีขนาดที่ใหญ่โตกว่า 2 ครั้งที่ผ่านมา โดยฝ่ายกัมพูชาอาจจะนำอาวุธหนักเข้าใช้เป็นครั้งแรก
ถ้าหากทหารไทย "รุกล้ำแดน" ของกัมพูชาอีก คราวนี้กัมพูชาจะใช้อาวุธที่มีอานุภาพรุนแรงยิ่งขึ้นใหญ่ขึ้นในการตอบโต้ รวมทั้งปืนใหญ่ 120 มม. ด้วย พล.อ.เจียดารา (Chea Tara) รองผู้บัญชาการกองทัพกัมพูชากล่าวในกรุงพนมเปญ
รอง ผบ.กองทัพกัมพูชา ระบุดังกล่าว ในการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ดืมอัมปึล (Deum Ampil) หลังไปเยี่ยมที่ตั้งทหารที่ชายแดนวันเสาร์ (17 ต.ค.) ที่ผ่านมา และ หลังจากมีรายงานว่าฝ่ายไทยได้ส่งรถถัง "ติดระบบอาวุธสมัยใหม่" เข้าในพื้นที่
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ยังอ้างคำกล่าวของแหล่งข่าวทางทหารรายหนึ่ง ซึ่งกล่าวหาว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.2551 เป็นต้นมาทหารไทยได้เคย “ล้ำแดน” เข้าไปหลายครั้งทางด้านด้านภูมะเขือ (Phnom Trop) ซึ่งฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยินยอมให้เกิดขึ้นอีก "เราจะไม่ยอมเสียดินแดนแม้สักตารางนิ้วเดียว ตามคำสั่งของสมเด็จฯ ฮุนเซน"
การเยือนที่ตั้งในแนวหน้าของ พล.อ.เจียดารา เป็นความพยายามปลุกขวัญกำลังทหารซึ่งเจ้าตัวกล่าวว่า "สถานการณ์ดีขึ้นมาก เราพูดได้ว่า เราสามารถตีโต้ศัตรูผู้รุกรานได้อย่างแน่นอน"
ชายแดนด้านภูมะเขือเป็นส่วนหนึ่งใน "เขตแดนทับซ้อน" ตั้งอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารไปทางทิศตะวันตกราวกิโลเมตรเศษ เคยเป็นสมรภูมินองเลือดระหว่างทหารของสองฝ่ายในวันที่ 15 ต.ค.ปีที่แล้ว กับอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 3 เม.ย.ปีนี้
การปะทะทั้งสองครั้งที่ผ่านมา สองฝ่ายยังคงใช้อาวุธประจำกายยิงตอบโต้กันเป็นหลัก อาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดที่ฝ่ายกัมพูชาใช้ก็คือ ระเบิดอาร์พีจี และ ฝ่ายกัมพูชกล่าวหาว่า ไทยได้ใช้จรวดยิงถล่มจนกระทั่งตลาดค้าขายชายแดนเชิงเขาพระวิหารพังพินาศสิ้น
แต่ พล.อ.ดารากล่าวว่า คราวนี้ฝ่ายกัมพูชาจะใช้อาวุธที่มีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ตามรายงานของสื่อในกรุงพนมเปญ วันพุธสัปดาห์ที่แล้ว ทหารที่ประจำการชายแดนด้านปราสาทพระวิหารมีอาการตื่นตระหนกพอสมควรเมื่อรถถังของฝ่ายไทยจำนวน 3 คัน เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่ เช่นเดียวกับทหารที่ประจำในเขตภูมะเขือ ที่รายงานว่ารถถังไทย “ติดระบบอาวุธสมัยใหม่” จำนวน 2 คัน เข้าไปที่นั่น เผชิญหน้ากับทหารกัมพูชาที่ตั้งมั่นอยู่
แต่ความวิตกกังวลหายไปเมื่อทราบว่า ทั้งหมดเป็นการเคลื่อนกำลังของหน่วยคุ้มกันการเดินทางตรวจพื้นที่ชายแดนของ พล.ต.กนก เนตระคเวสนะ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี
"ก่อนพลตรีกนกจะไปถึงที่นั่นพวกเราได้ยินเสียงรถถังราว 3 คันเข้าไปก่อน พร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่ง.." พล.ต.สเรย์เดิ๊ก (Srey Deuk) ผู้บัญชาการกองพลที่ประจำการด้านปราสาทพระวิหารกล่าวกับ "ดืมอัมปึล"
“จากนั้นเข้าไปยังบริเวณชายแดนด้านโอจักเกรง แล้วก็ต่อไปทางช่องตาสิม ก่อนจะเลยไปทางภูมะเขือ.. ทีแรกเรานึกว่าเป็นผู้บัญชาการทหารบกของไทยเสียอีก" พล.ต.เสรย์เดิ๊กล่าว
ปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ออกคำสั่งไปยังทหารที่ตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ชายแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร หากพบว่ามีผู้ใดรุกล้ำชายแดนสามารถยิงได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน
คำสั่งยังมีขึ้นหลังจากกลุ่มผู้ประท้วงชาวไทยได้เดินทางไปยังพื้นที่ใกล้กับปราสาทพระวิหาร
“ถ้าพวกเขาล่วงล้ำเข้ามาอีกเราจะยิง” สมเด็จฯ ฮุนเซน กล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ยืนยันว่า ผู้นำกัมพูชาได้สั่งกองกำลังทหารตามบริเวณชายแดนให้สามารถยิงผู้ที่บุกรุกได้ ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหารก็ตาม
“ทหาร ตำรวจ และกองกำลังต้องทำตามคำสั่งนี้ สำหรับผู้บุกรุกจะไม่มีการใช้โล่หรือเกราะกำบังสกัดกั้นอีกแล้ว แต่จะใช้ลูกกระสุนแทน” สมเด็จฯ ฮุนเซน กล่าวระหว่างการปราศรัยในการทำพิธีเปิดอาคารกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ.