ซเวินจี๋/ไซ่ง่อนหยายฟง-- ผู้ป่วยไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 หรือ "หวัดสุกร" จำนวน 247 คน ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 52 คนที่คณะแพทย์ต้องเฝ้าติดตามอาการและให้การรักษาในโรงพยาบาลหลายแห่งทั้งในกรุงฮานอยและนครโฮจิมินห์ ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขยืนยันพบผู้ป่วยสองรายที่มีอาการดื้อยาทามิฟลู (Tamiflu)
เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบผู้โดยสารติดเชื้อ A/H1N1 อีกจำนวนหนึ่งเมื่อวันจันทร์ (13 ก.ค.) ที่ท่าอากาศยานเตินเซินเญิ๊ต (Tan Son Nhat) โฮจิมินห์ และถูกนำส่งโรงพยาบาล เกือบทั้งหมดอาการดีขึ้น ไม่ได้แสดงอาการแทรกซ้อนใดๆ
นายแพทย์หลีหง็อกกิ๋ง (Ly Ngoc Kinh) ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจและรักษาสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า การรักษาผู้ป่วย A/H1N1 ในเวียดนามได้ผลดี มีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องเฝ้าระวังต่อไปเพราะการแพร่ระบาดอาจจะลุกลามใหญ่โตได้ตลอดเวลา เนื่องจากเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มนุษย์ยังไม่มีภูมิต้านทาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีกำหนดประชุมหารือมาตรการต่อไปในวันอังคารที่ผ่านมา
ตามตัวเลขขององค์การอนามัยโลกจนถึงวันที่ 12 ก.ค.2552 พบผู้ป่วย "หวัดสุกร" ทั้งหมด 94,512 รายใน 135 ประเทศกับดินแดน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 429 ราย
สำหรับในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฟิลิปปินส์มีการยืนยันจำนวนผู้ป่วย 1,709 ราย เสียชีวิต 1 ราย สิงคโปร์ผู้ป่วย 1,217 ราย ไทย 3,475 ราย เสียชีวิต 18 และ บรูไนพบเพียง 1 ราย เสียชีวิตแล้ว
คณะแพทย์ในนครโฮจิมินห์ยังคงเฝ้าจับตาผู้ปวยจำนวน 2 ราย ที่รับเข้ารักษาเมื่อสองสัปดาห์ก่อน และพบว่ามีอาการต้านทานต่อยาทามิฟลู ตัวยาต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดนก (A/H5N1) ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า ไวรัสโรคหวัดสายพันธุ์ใหม่อาจจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาได้ ขณะที่ยังไม่มีตัวยาชนิดอื่นๆ อย่างเพียงพอในการช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดขณะนี้ แต่ยังไม่มีฝ่ายใดให้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
นายแพทย์ฟาน-วัน-เงวียม (Phan Van Nghiem) แห่งสำนักงานสาธารณสุขนครโฮจิมินห์ได้แถลงเรียกร้องไปยังสาธารณชนไม่ให้ตื่นตระหนก และไม่ซื้อยาทามิฟลูไปกักตุน หรือ รับประทานโดยเชื่อว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ซึ่งไม่เป็นความจริง
เวียดนามเป็นประเทศแรกๆ ที่สนองตอบเสียงเรียกร้องขององค์การอนามัยโลก หลังมีการประกาศแจ้งเตือนการพบเชื้อ A/H1N1 ตั้งแต่ช่วงต้นไป โดยได้ติดเครื่องสแกนอุณหภูมิร่างกายของผู้โดยสารที่ท่าอากาศยานหลักทั้งสองแห่งคือ เตินเซินเญิ๊ต โฮจิมินห์กับโนยบ่าย (Noi Bai) ในกรุงฮานอย.