xs
xsm
sm
md
lg

‘จิสด้า’ เตรียมใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม Carbon Atlas ช่วยลดต้นทุนการประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ ปลายปีนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ล่าสุด องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ได้ประกาศรับรอง “การประเมินการกักเก็บมวลชีวภาพ (คาร์บอน) สะสมในพื้นที่ป่าด้วยแบบจำลอง Machine Learning เพื่อการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับประเทศไทย และการประเมินมวลชีวภาพป่าไม้ด้วยอากาศยานไร้คนขับ ในระดับรายแปลง”

โดยรองรับการประเมินบนพื้นที่ป่า 4 ประเภทและ 1 พืชเกษตร ได้แก่ ป่าดิบเขา ป่าผสมผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าชายเลน และสวนยางพารา ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การประเมินตามระเบียบวิธีการของ อบก. ได้กำหนดไว้ 4 ทางเลือก คือ 1.การนับจำนวนต้นไม้ 2.การวัดขนาดต้นไม้ 3.การใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และ 4.อื่น ๆ ตามที่ อบก. พิจารณาเห็นชอบ

สำหรับวิธีที่ 1 และ 2 เหมาะสำหรับพื้นที่ไม่กว้างมาก แต่สำหรับพื้นที่ที่มีหลายร้อยไร่ถึงเป็นพันไร่ การที่จะใช้คนนับต้นไม้หรือว่าวัดความสูงของต้นไม้ค่อนข้างทำได้ยาก จึงต้องใช้วิธีที่ 3 ซึ่งมี 2 ขั้นตอน คือ การนำภาพถ่ายดาวเทียมมาดูขอบเขตพื้นที่ปลูกต้นไม้ และเมื่อรู้ขอบเขตแล้วจะนำมาสุ่มวางแปลงตรวจวัดการเติบโตความสูงของต้นไม้ ตามที่ อบก.กำหนดไว้ เช่น พื้นที่มากกว่า 300 ไร่ ต้องวางแปลงตัวอย่างไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 แล้วนำมาคำนวณในสมการร่วมกับภาพถ่ายดาวเทียม ก็จะได้ปริมาณการกักเก็บคาร์บอน ของปีฐานนั้น ๆ

นอกจากนี้ ระเบียบวิธีการประเมินการกักเก็บคาร์บอน อบก.ได้กำหนดไว้ว่า ผู้พัฒนาโครงการจะนำการพัฒนาการกักเก็บคาร์บอนไปเป็นปีฐาน เพื่อที่จะซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะต้องมีผู้ให้การประเมินเข้าไปประเมิน ตรวจวัดว่ามีความถูกต้องตามหลักวิชาการหรือไม่ และเมื่อจะขายคาร์บอนเครดิต จะต้องมีการประเมินอีกครั้ง ว่ามีการกักเก็บคาร์บอนเพิ่มเป็นเท่าใดเพื่อนำส่วนต่างไปขาย ทำให้แต่ละโครงการกว่าจะขายคาร์บอนเครดิตได้ ต้องมีการประเมินตรวจวัดในพื้นที่ถึง 2 ครั้ง และมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง โครงการขนาดเล็ก ที่มีผลตอบแทนต่ำ จึง “ไม่คุ้มค่า” ในการพัฒนาโครงการ และคำว่า “ไม่คุ้ม” นี้เอง ที่ทำให้หน่วยงานอื่น ๆ ที่มีศักยภาพทั้งภาพถ่ายดาวเทียม แบบจำลองและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เล็งเห็นโอกาสตรงนี้ รวมถึง GISTDA ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ได้มีการนำเสนอ อบก. ถึงการทำระเบียบวิธีการประเมินใหม่ ที่นอกจากจะใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แล้ว ยังนำเอาเครื่องมือและเทคโนโลยีไลดาร์ (LiDAR) มาช่วยประเมินการกักเก็บคาร์บอน เพื่อความถูกต้อง แม่นยำ และลดค่าใช้จ่าย


ดร.สยาม ลววิโรจน์วงศ์ ผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ GISTDA กล่าวว่า ปัจจุบัน GISTDA ได้พัฒนาวิธีการใช้ข้อมูลจากดาวเทียมในการประเมินการกักเก็บคาร์บอน ซึ่งได้รับการรับรองจาก อบก. โดยวิธีการดังกล่าวจะช่วยให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว และขยายพื้นที่ในวงกว้างได้ รวมถึงยังเพิ่มเรื่องของความถูกต้อง เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการในอดีตที่ต้องใช้คนเข้าพื้นที่ นับจำนวนต้นไม้และวัดขนาดต้นไม้ เพื่อนำมาประเมินการกักเก็บคาร์บอน

“การใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และสามารถกระจายไปได้ในทุกพื้นที่ ประชาชนหรือหน่วยงานที่สนใจก็สามารถเข้าร่วมได้ โดยปัจจุบัน GISTDA ได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า “Carbon Atlas” เพื่อรองรับการให้บริการการประเมินการกักเก็บคาร์บอนด้วยวิธีการใหม่ดังกล่าว” ผู้ที่สนใจจะขายคาร์บอนเครดิตสามารถเข้ามาวาดรูปแปลงบน “แผนที่คาร์บอน” หรือ “Carbon Map” ที่ GISTDA มีการจัดทำทุกปีผ่านคอมพิวเตอร์หรือว่าบนโทรศัพท์มือถือ เพื่อที่จะประเมินศักยภาพของพื้นที่นั้น ๆ ว่ามีการกักเก็บคาร์บอนมากน้อยแค่ไหนก่อนนำไปขอขึ้นทะเบียนกับ อบก. วิธีการนี้จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการประเมินคาร์บอนที่ถูกลง สามารถประเมินได้อย่างสะดวก รวดเร็ว แม่นยำ และน่าเชื่อถือ

“คาดว่าจะสามารถให้บริการดังกล่าวผ่านแพลตฟอร์ม “Carbon Atlas” ได้ ภายในปลายปี 2568 ทั้งนี้ GISTDA คาดหวังว่า การพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นวิธีการใหม่ในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนนี้ จะช่วยสนับสนุนนโยบายของประเทศในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือคาร์บอนเครดิตให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น” ดร.สยาม กล่าว

ดูเพิ่มเติม https://www.gistda.or.th/news_view.php?n_id=8328&lang=TH


กำลังโหลดความคิดเห็น