กรีนพีซ เปิด 4 ข้อเรียกร้องให้มีระบบตรวจสอบย้อนกลับอย่างเคร่งครัด โปร่งใส ตลอดห่วงโซ่อุปทานในประเทศและข้ามพรมแดนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกษตรและเนื้อสัตว์ โดยเปิดโอกาสให้สาธารณะและผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับได้ หลังการสำรวจพบปัญหาฝุ่นพิษข้ามพรมแดนส่วนหลักเกิดจากร่องรอยการเผาในพื้นที่ปลูกข้าวโพด
แม้จะเกิดหมอกควัน แต่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดจำนวนมากในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง (ไทย เมียนมา สปป.ลาว) ยังคงใช้วิธีการเผาต่อไป เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และใช้ต้นทุนต่ำที่สุดในการกำจัดตอซังซากพืชหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเพาะปลูกครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรายย่อยไม่ควรถูกตำหนิแต่เพียงผู้เดียวในเมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น
• ร่องรอยเผาไร่ข้าวโพดโยงผู้ผลิตขนาดใหญ่
เนื่องจากผลการวิเคราะห์ปัญหาฝุ่นพิษข้ามพรมแดนที่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยกรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมกับคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงปีที่ผ่านมา พบร่องรอยการเผาในพื้นที่ปลูกข้าวโพดในอนุภูมิภาคนี้ถึง 3,762,728.63 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.85 ของร่องรอยเผาไหม้ทั้งหมด
รายงานของกรีนพีซระบุว่า กระบวนการตรวจสอบย้อนกลับที่อุตสาหกรรมและรัฐบาลอ้างอิงถึงนั้นยังถูกตั้งคำถามถึงความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูล และกระบวนการการตรวจสอบย้อนกลับว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนภายใต้ระบบการซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของภาคเหนือตอนบนที่มีการเชื่อมโยงกับปัญหาสิทธิที่ดิน พ่อค้าคนกลาง และโรงโม่เถื่อน รวมถึงเอกสารการรับซื้อที่ประชาชนส่วนมากไม่เคยเห็น
นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการลดพื้นที่การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ โดยหันมาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ระดับภูมิภาคภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนและเกษตรกรรมยั่งยืน โดยให้ความสําคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ ความเป็นธรรมระหว่างเกษตรกรรายย่อยกับผู้ประกอบการ มาตรการเหล่านี้จะแสดงถึงความกล้าหาญของรัฐในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษข้ามแดนที่คุกคามสุขภาพและชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
รายงานของกรีนพีซย้ำว่า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงเป็นตัวการสำคัญของฝุ่นพิษข้ามแดนและการทำลายป่าระดับภูมิภาคมานานร่วมสองทศวรรษ ฝุ่นพิษเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งด้านสิทธิในอากาศสะอาด สิทธิเกษตรกร และสิทธิชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ที่มักถูกกล่าวโทษว่าเป็นตัวการก่อฝุ่นพิษและการทำลายป่าไม้ขนานใหญ่ อย่างไรก็ตามข้อมูลการเผาไหม้ที่เกิดขึ้นในไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีจำนวนรวมแล้วเทียบเท่ากับเกือบสี่เท่าของกรุงเทพฯ
พร้อมกับมองว่ารัฐบาลไทยยังขาดความมุ่งมั่นและมาตรการแก้ไขอย่างหนักแน่นและเอาจริง แต่กลับส่งเสริมการเติบโตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาอย่างยาวนาน ทั้งภายในและนอกประเทศ และการเติบโตของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับการส่งเสริมของนโยบายหลายชุดจากรัฐบาลไทยเพื่อสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งนโยบายประกันราคา การกู้ยืม การนำเข้า 0% และการส่งเสริมให้บริษัทไทยสามารถไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านได้ในรูปแบบเกษตรพันธสัญญา ทั้งหมดนี้เมื่อปัญหาฝุ่นพิษข้ามแดนรุนแรงขึ้นกลับไม่เห็นเจตจำนงและความพยายามของรัฐบาลไทยในรูปแบบเดียวกันเพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง
“รัฐบาลไทยจะสามารถประกาศด้วยความภาคภูมิได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกเนื้อสัตว์อันดับต้นของโลก และเป็นครัวของโลก อย่างแท้จริง หากมีการบังคับใช้มาตรการตรวจสอบย้อนกลับอย่างเข้มงวดต่ออุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยมีการรับประกันว่าแหล่งที่มาเหล่านี้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าในภูมิภาคและไม่เป็นต้นเหตุของฝุ่นพิษข้ามแดน ปัจจุบันไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กำลังส่งผลกระทบในรูปแบบของภัยพิบัติฝุ่นพิษ น้ำท่วม และดินถล่ม ที่รุนแรงขึ้นทุกปี ขณะที่ประชาชนต้องเผชิญกับวิกฤตเหล่านี้ แต่ผู้ที่ได้ผลประโยชน์จากหายนะนี้คืออุตสาหกรรม” รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ด้านอาหารและป่าไม้ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าว
• 4 ข้อเสนอตรวจสอบผู้ก่อมลพิษตัวจริง
กรีนพีซวิจารณ์ว่า รัฐบาลไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษข้ามแดนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งไม่ตรงจุด และไม่กล้าหาญ ตราบใดที่ไม่ระบุถึงบทบาทและภาระรับผิดชอบของบริษัทอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์
ทั้งนี้เพื่อให้บริษัทอุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษและละเมิดสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทานต้องรับผิดชอบในการกระทำของตน ในขณะที่ภาครัฐสามารถเอาผิดกับผู้ก่อมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อมาตรการแก้ปัญหาฝุ่นพิษข้ามพรมแดน ดังนี้
1.กำหนดให้มีระบบตรวจสอบย้อนกลับอย่างเคร่งครัดและโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทานในประเทศและข้ามพรมแดนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกษตรและเนื้อสัตว์ โดยที่สาธารณะและผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับได้
2.กำหนดให้มีการเอาผิดบริษัทอุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษหากในห่วงโซ่อุปทานของตนเชื่อมโยงกับการก่อมลพิษทางอากาศ
3.ลดพื้นที่การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ
4.ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ระดับภูมิภาคภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนและเกษตรกรรมยั่งยืน โดยให้ความสําคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพ ความเป็นธรรมระหว่างเกษตรกรรายย่อยกับผู้ประกอบการ
ในรายงานยังระบุข้อมูลค้นพบสำคัญ ดังนี้
▪️ในปี 2567 พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงรวมทั้งหมด 15,328,533.50 ไร่ แบ่งเป็นภาคเหนือตอนบนของไทย 2.9 ล้านไร่ รัฐฉานของเมียนมา 6.6 ล้านไร่ และตอนบนของสปป.ลาว 5.8 ล้านไร่
▪️ร่องรอยเผาไหม้ในพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีทั้งหมด 3,762,728.63 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.85 ของร่องรอยเผาไหม้ทั้งหมดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในปี 2567
▪️พบจุดความร้อนรวมกัน 76,892 จุด ในพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใน อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง คิดเป็นร้อยละ 35.06 ของจุดความร้อนทั้งหมด (โดยพบในพื้นที่ป่าร้อยละ 46.31)
▪️ระหว่างปี 2558 ถึง 2567 มีพื้นที่ป่าเปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงรวมกันเกือบ 11.8 ล้านไร่ (11,781,751 ไร่) เกือบทั้งหมดเป็นการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพื่อนบ้าน และส่งผลต่อการทำลายพื้นที่ป่ามากขึ้น โดยเฉพาะในรัฐฉาน เมียนมาที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี
สำหรับเมียนมา ลาว และไทย เป็นหนึ่งใน 30 ประเทศที่มีมลพิษทางอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก จากการศึกษาของสถาบันนโยบายพลังงานแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (EPIC) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2566
ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในประเทศที่มีมลพิษมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเมียนมาอยู่ที่เกือบ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งแย่กว่าหลักเกณฑ์คุณภาพอากาศขององค์การอนามัยโลกถึง 7 เท่า ตามดัชนีคุณภาพอากาศของ EPIC ในลาว ค่า PM2.5 อยู่ที่ประมาณ 27 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในขณะที่ประเทศไทยมีค่าประมาณ 23 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร