xs
xsm
sm
md
lg

ติดโซลาร์มีเฮ! ขายคาร์บอนเครดิตได้ รัฐ-เอกชน-ครัวเรือนผลักดันลดโลกร้อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



●บพข.หนุนมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน ร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดตัวโมเดลนำร่อง “โครงการตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ”


●เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ประสานพลังสร้างบ้านพร้อมติดตั้งSolar Roofทุกหลัง เดินหน้าโครงการบ้านพลังงานเป็นศูนย์


●กลุ่มเซ็นทรัล สร้างมูลค่าเพิ่มให้บ้านติดโซลาร์ที่เข้าร่วมโครงการ ให้แลกคะแนน “The 1” ของเครือเซ็นทรัล

โครงการนี้ ภายใต้งบประมาณของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , ธุรกิจกลุ่มเซ็นทรัล และบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถแลกคะแนน The 1 ของเครือเซ็นทรัลได้ ตั้งเป้าหมายไว้ไม่น้อยกว่า 300 ครัวเรือนหรือคะแนน The 1 ไม่เกิน 4 ล้านคะแนน ระยะเวลาโครงการมีถึงสิ้นปี 2568

ถือว่าเป็นแนวทางที่กระตุ้นตลาดคาร์บอนเครดิตภาคครัวเรือนซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครทำ และเป็นการสร้างโอกาสธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทสตาร์อัพ และสร้างแรงจูงใจในการใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ภาคครัวเรือนที่ติดตั้ง Solar cell เพื่อลดค่าไฟฟ้า นอกจากช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ยังสามารถนำ Carbon Credit ที่ผลิตได้จาก Solar cell และได้รับการรับรองมาตรฐาน T-VER ของประเทศไทย มาเปลี่ยนเป็นคะแนน The 1 ของเครือเซ็นทรัล ฟรี

ศาสตราจารย์ ดร.อาภาณี เหลืองนฤมิตชัย ประธานคณะอนุกรรมการแผนงานกลุ่มพลังงาน เคมี และวัสดุชีวภาพ หน่วยบริหรและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคครัวเรือนครั้งนี้ นับเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญในการส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการเปิดรับพลังงานสะอาด ซึ่งจะนำไปสู่เศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สังคมไร้คาร์บอนและความยั่งยืนในที่สุด

ในฐานะเป็นหน่วยงานที่ให้ทุนโครงการ วิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในการสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ภายใต้แผนงานพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมการใช้ประโยชน์จากพลังงานสะอาด พัฒนาระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-GreenEconomy: BCG) พลังงานหมุนเวียน วัสดุชีวภาพ และเคมีชีวภาพให้เป็นระบบเศรษฐกิจมูลค่าสูง มีความยั่งยืนและเพิ่มรายได้ของประเทศ โดยพัฒนาเศรษฐกิจไทยด้วยเศรษฐกิจสร้างคุณค่า และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้มีความสามารถในการแข่งขัน และพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน

“เราพร้อมสู่อนาคตโดยใช้วิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม และดำเนินการร่วมกับการทำแพลตฟอร์มตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจโดยติดตามข้อมูลการผลิตพลังงานจากระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา และปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสามารนำก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้แลกเปลี่ยนกับสินค้า หรือบริการของภาคธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงการจัดทำระบบนิเวศของแพลตฟอร์มตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ เช่น ภาคครัวเรือนต้องการผลตอบแทนจากการใช้พลังงาน ภาคธุรกิจต้องการปริมาณคาร์บอน เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในการดำเนินธุรกิจโดยมีอัตราแลกเปลี่ยนที่จูงใจในการทำธุรกรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจสร้างคุณค่าสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน”




ด้าน ดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน กล่าวว่า โครงการ “วิจัย และพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ในการสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ” มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินโครงการ เนื่องจากนโยบายด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย เพื่อร่วมมือในการลดภาวะโลกร้อนของโลก การสนับสนุนตลาดคาร์บอนทั้งในระดับนานาชาติ และระดับประเทศ การเติบโตของจำนวนผู้ใช้พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาด ซึ่งในปัจจุบันมีการนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในภาคธุรกิจ 

ในโครงการนี้ มีการจัดทำแพลตฟอร์มติดตามการผลิตพลังงานทดแทน และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มุ่งเน้นครัวเรือนที่ติดตั้ง Solar Cell ก่อน เนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้งานมาก และมีนโยบายจากภาครัฐที่ชัดเจน ทั้งนี้แพลตฟอร์มที่จะพัฒนาขึ้นจะสามารถแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ไปเป็นสินค้า หรือบริการกับภาคธุรกิจที่เข้าร่วม โดยภาคธุรกิจสามารถนำคาร์บอนที่ได้เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน และการดำเนินการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) ซึ่งจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องดังนี้

1.ภาคครัวเรือน มีช่องทางการสร้างรายได้จากการใช้พลังงานสะอาด หรือสามารถแลกเป็นสินค้า และบริการจากภาคธุรกิจที่เข้าร่วมผ่านแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้น ทั้งยังสร้างคุณค่าให้กับผู้ใช้พลังงานสะอาดในการเป็นส่วนหนึ่งของการลดภาวะโลกร้อน

2.ภาคธุรกิจ สามารถดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนในส่วนการใช้พลังงานลสะอาด โดยการซื้อคาร์บอนเครดิต หรือแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าและบริการให้กับครัวเรือนที่เข้าร่วมผ่านแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมภาพลักษณ์ของการดำเนินธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มยอดขาย สร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในระยะยาว

3.ประเทศไทย สามารถพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนแบบภาคสมัครใจให้เกิดขึ้นจริงในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศเป็นไปตามเป้าหมาย โดยจะส่งผลให้ทั้งประชาชน และภาคธุรกิจหันมาใช้พลังงานสะอาด รวมถึงการดำเนินการด้านอื่นที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้มากขึ้น และยังสร้างผลประโยชน์ร่วมในหลายด้าน เช่น การบรรเทาผลกระทบของมลพิษทางอากาศ, การรักษามั่นคงทางพลังงาน, นวัตกรรมเทคโนโลยี การลดต้นทุนทางพลังงาน การจ้างงาน และลดการย้ายถิ่นฐานเข้าเมือง เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวหน้า และยั่งยืนต่อไป




รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ เป็นหน่วยงานที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประเมินภายนอก สำหรับโครงการภาคสมัครใจของประเทศไทย ได้ดำเนินการประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจก ตามมาตรฐานต่างๆ เช่น Thailand Voluntary Emission Reduction Program (T-VER) หรือที่รู้จักในวงกว้างว่า คาร์บอนเครดิต ที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กำหนด โดยมีขั้นตอนการดำเนินการเบื้องต้น 6 ขั้นตอน 

1.การจัดทำเอกสารโครงการ 
2.การตรวจสอบเอกสาร หรือ Validation 
3.การขึ้นทะเบียนโครงการ Solar ดังกล่าวกับ อบก. 
4.การดำเนินการโครงการพร้อมการตรวจวัดต่างๆ 
5.การจัดทำเอกสารขอทวนสอบผลคาร์บอนเครดิตที่ได้ ก่อนที่จะนำไป 
6.ยื่นขอรับรองคาร์บอนเครดิตจากทาง อบก.

ทั้งนี้ การตรวจสอบเอกสาร และทวนสอบต่างๆ ถือเป็นความสำคัญ และจำเป็นที่ประเทศต้องการ รวมถึงเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศในอนาคต


“เซ็นทรัล-เสนา” นำร่อง ชูเป้าหมายคาร์บอนเป็นศูนย์

นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีความต้องการคาร์บอนเครดิตเป็นอย่างมาก และในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูง จากกระแสความตื่นตัว และความมุ่งมั่น ทั้งในระดับประเทศ และระดับองค์กรที่มีการตั้งเป้าหมายที่จะเป็น Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions และกระแสโลกเรื่อง Climate Change เป็นเรื่องที่สำคัญมาก และทุกคนต้องลงมือแก้ปัญหานี้ด้วยกัน โดยเฉพาะภาคธุรกิจ เป็นภาคส่วนที่มีศักยภาพในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆ กลุ่มเซ็นทรัล จึงมีความต้องการที่จะซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยในการจัดกิจกรรมต่างๆ

ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมโครงการ สามารถนำ Carbon Credit 1 ตันคาร์บอน มาแลกเป็นคะแนน The 1 ได้ 1,600 คะแนน เพื่อนำไปเป็นส่วนลดสินค้า และบริการ รวมถึงรับสิทธิประโยชน์ในกลุ่มเซ็นทรัลทั่วประเทศ และกลุ่มเซ็นทรัลมีความมุ่งหวังการเติบโตของธุรกิจจะต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน และตระหนักว่าต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทางของห่วงโซ่อุปทาน จนถึงปลายทางของการจัดการอย่างถูกหลัก หนึ่งในเป้าหมายคือการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดและยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจ ทั้งยังช่วยลดปัญหามลพิษด้วยพลังงานสะอาด


ขณะที่ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เสนาฯ ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่เริ่มสร้างบ้านพร้อมติดโซลาร์รูฟให้พร้อมใช้งานตั้งแต่ซื้อบ้านทั้งโครงการเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ขณะนั้นมองว่าการใช้พลังงานทดแทนคือเทรนด์ของอนาคต ที่นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของลูกบ้านแล้ว ยังลดการสร้างคาร์บอนที่เป็นต้นเหตุของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ทั้งนี้ สิ่งที่เสนาให้ความสำคัญคือ การพัฒนาโครงการ และสนับสนุนการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านการใช้พลังงานทดแทนที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการลดคาร์บอนขององค์กร

โดยเฉพาะการนำแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy Housing) ซึ่งประหยัดการใช้ไฟฟ้าของบ้านได้สูงสุดถึง 38% และการส่งเสริม Decarbonized Lifestyle ให้ลูกบ้านสามารถใช้ชีวิตรักษ์โลกได้ง่ายๆ เพียงอยู่กับเราเท่านั้น ปัจจุบันเสนาติดตั้งโซลาร์รูฟให้กับลูกบ้าน ทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมแล้วทั้งหมดทุกโครงการ รวมกว่า 1,000 หลัง

สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ลูกบ้านเสนาที่ติดโซลาร์ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ โดยปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจะสามารถนำไปแลกคะแนนเพื่อใช้เป็นส่วนลดหรือซื้อของต่อไปได้ เช่น ลูกบ้านที่ติดตั้งโซลาร์ 5kw คาร์บอนเครดิตจะถูกคำนวณและสามารถเปลี่ยนเป็นคะแนน The 1 ได้ 600 คะแนนต่อเดือน หรือ 7,200 คะแนนต่อปี โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะมีลูกบ้านเข้าร่วมโครงการนี้ และเชิญชวนให้ลูกบ้านอื่นๆที่ได้ติดตั้งโซลาร์ที่ไม่ใช่ลูกบ้านเสนา ก็สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้


กำลังโหลดความคิดเห็น