ในงานวิจัยชิ้นล่าสุดของ RepRisk บริษัทด้านวิทยาการข้อมูล ESG (Environmental, Social and Governance) ที่ใหญ่สุดของโลก ซึ่งเปิดเผยในรายงาน 2023 Report on Greenwashing เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2566 แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงจากการฟอกเขียว โดยจากการสำรวจความเสี่ยงด้าน ESG ที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศของกิจการทั่วโลก (ระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ.2565 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ.2566) พบว่าทุก ๆ หนึ่งในสี่ของอุบัติการณ์ (Incident) ที่เกิดขึ้น มีความเชื่อมโยงกับการฟอกเขียว โดยเพิ่มขึ้นจากที่เกิดขึ้นทุก ๆ หนึ่งในห้ากรณี จากข้อมูลในรายงานของปีก่อนหน้า
การฟอกเขียว (Greenwashing) คือ การทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดด้วยการโฆษณาสินค้าหรือองค์กรให้มีภาพลักษณ์ว่ารับผิดชอบต่อสังคมโดยการรักษาสิ่งแวดล้อมทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
จากการสำรวจข้อมูลของปี พ.ศ.2565 กลุ่มธนาคารและบริการทางการเงิน มีกรณีของการฟอกเขียวที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศอยู่ที่ 109 กรณี (คิดเป็น 16% ของกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด) โดยเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสูงเป็นอันดับสอง รองจากกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ซึ่งมีจำนวนอยู่ที่ 160 กรณี (คิดเป็น 23% ของกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด)
ทั้งนี้ เป็นการฟอกเขียวด้านสภาพภูมิอากาศที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภค จำนวน 71 กรณี (10%) กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 62 กรณี (9%) กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและก่อสร้าง จำนวน 60 กรณี (9%) กลุ่มธุรกิจค้าปลีก ของใช้ในครัวเรือนและของใช้ส่วนตัว จำนวน 55 กรณี (8%) กลุ่มธุรกิจสายการบินและการเดินทางท่องเที่ยว จำนวน 47 กรณี (7%) และกลุ่มธุรกิจเหมืองแร่ จำนวน 27 กรณี (4%) นอกนั้นอยู่ในกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ อีกจำนวน 104 กรณี (15%)
ตัวอย่างการฟอกเขียวที่เกิดขึ้นในหลายบริษัท ส่งผลร้ายต่อชื่อเสียงและกระทบกับสถานะทางการเงินของกิจการ อาทิ DWS Group ถูกกล่าวหาว่าทำการตลาดในผลิตภัณฑ์กองทุนที่ทำให้ผู้ลงทุนหลงผิดว่ามีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเกินจริง หรือ H&M ถูกวิจารณ์ว่าใช้ระบบแต้มคะแนนสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ผู้บริโภคหลงผิดเกี่ยวกับความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์
โดยในกลุ่มธนาคารและบริการทางการเงิน มากกว่า 50% ของการฟอกเขียวด้านสภาพภูมิอากาศ เป็นกรณีที่เอ่ยถึงเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือมีความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการเงินกับบริษัทน้ำมันและก๊าซ ซึ่งระเบียบวิธีที่ RepRisk ใช้ประเมิน จะพิจารณาทั้งผลร้ายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินการโดยตรง และจากการให้สินเชื่อหรือลงทุนในบริษัทหรือกิจกรรมประเภทดังกล่าว เช่น การให้สินเชื่อในโครงการ/กิจกรรมด้านน้ำมันและก๊าซ
กรณีการฟอกเขียวที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นถึงการขยายขอบเขตและความซับซ้อนของกิจกรรม จากการทำให้ผู้บริโภคหลงผิด ไปสู่การให้คำมั่นสัญญา การรับรอง และข้อผูกมัดที่ไม่ใสสะอาด และมักง่ายต่อการประกาศเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยปราศจากการลงมือปฏิบัติในปัจจุบันเพื่อให้เกิดผลจริง (หลายกรณี มีการยกเป้าหมายและขยับเงื่อนเวลาออกไป เมื่อจวนตัว)
วิธีสำรวจการฟอกเขียวของ RepRisk ใช้การหาจุดตัดของประเด็น ESG สองชุด คือ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงกรณีการฟอกเขียวอย่างตรงไปตรงมา ตั้งแต่การติดฉลากหลอกลวงแบบชัดแจ้ง ไปจนถึงกรณีที่ซับซ้อนอย่างการบิดเบือนจากผู้กุมอำนาจ
ในปีที่แล้ว มีบริษัท 1,850 แห่ง ที่เกี่ยวโยงกับกรณีการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด ในจำนวนนี้ 63% หรือ 1,160 บริษัท ทำเป็นครั้งแรก และไม่ได้เกิดเฉพาะกับกิจการมหาชน แต่ยังพบในบริษัทเอกชนด้วย โดยมีบริษัทมหาชน ในสัดส่วน 12% ที่พบอย่างน้อยหนึ่งกรณีซึ่งเกี่ยวโยงกับการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด เมื่อเทียบกรณีที่เกิดขึ้นกับบริษัทเอกชน ในสัดส่วน 3% ที่มีอย่างน้อยหนึ่งกรณีซึ่งเกี่ยวโยงกับการสื่อสารที่ทำให้หลงผิด
ความคาดหวังที่จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันจากภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืน ได้เปิดประตูบานใหญ่สู่การฟอกเขียว และประตูยิ่งจะเปิดค้างยาวนานขึ้น ท่ามกลางภูมิทัศน์ความยั่งยืนของกิจการที่ผันเปลี่ยนเร็ว โดยไร้การติดตามตรวจสอบและภาระความรับผิดต่อการกระทำดังกล่าว
การระบุและป้องกันมิให้เกิดการสื่อสารเรื่องความยั่งยืนที่กิจการลวงให้หลงผิด จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือภายนอก ที่มิใช่ข้อมูลความยั่งยืนที่กิจการเปิดเผยโดยลำพัง
ผู้สนใจที่ต้องการอ่านรายละเอียดผลการสำรวจการฟอกเขียวฉบับเต็มของ RepRisk สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ https://www.reprisk.com/news-research/reports/on-the-rise-navigating-the-wave-of-greenwashing-and-social-washing
บทความโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์