xs
xsm
sm
md
lg

FWD ประกันชีวิต เดินหน้าต่อปี3 หนุนชุมชนลาหู่ปลูกชาอย่างยั่งยืน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



FWD ประกันชีวิต เดินหน้าเป็นปีที่ 3 กับโมเดลต้นแบบสนับสนุนชุมชนลาหู่ปลูกชาอย่างยั่งยืน “โครงการพัฒนาชุมชนกับชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น” อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ล่าสุดเผยความคืบหน้า 3 โครงการต่อยอดตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตามเป้าหมายเสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็งด้วยตนเอง

เมื่อวันที่ 14-16 ก.ค.ที่ผ่านมา FWD ประกันชีวิต โชว์โฉมความคืบหน้าของโมเดลต้นแบบ “โครงการพัฒนาชุมชนกับชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ หลังได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2564 โดยจับมือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร จังหวัดเชียงใหม่ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยว (อพท.) โดยการลงพื้นที่เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาชุมชนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อบรรลุเป้าหมายสนับสนุนชุมชนให้เข้มแข็งด้วยตนเอง ซึ่งนับเป็นการขับเคลื่อน ESG ที่เข้าร่วมพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ชาคุณภาพดี บนดอยปู่หมื่น
นายเดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (FWD ประกันชีวิต) กล่าวว่า “เป้าหมายของ FWD ประกันชีวิต ต้องการให้ผู้คนในสังคมไทยได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่แบบไม่ต้องกังวล โครงการนี้เราคาดหวังจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างประโยชน์ให้ชุมชนอยู่ในสังคมไทยได้อย่างยั่งยืน ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2564 ที่เราร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ คัดเลือกชุมชนต้นแบบ และเริ่มทำงานพัฒนาชุมชนแห่งนี้จนเป็นที่มาของ “โครงการพัฒนาชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น” อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่”

เราเริ่มจากกรอบแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนใน 3 ด้านคือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในการทำงานของเราเริ่มจากการการคัดเลือกชุมชน จากการลงสำรวจพื้นที่แห่งนี้ ก็พบว่า ชุมชนมีปัญหาในเรื่องความเป็นอยู่ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ และกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่เดินทางเข้าไปทำงานในตัวเมืองเป็นจำนวนมากแล้วทิ้งพื้นที่เพาะปลูกและการทำเกษตรกรรมชาอัสสัม ซึ่งเคยเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้ของครอบครัว

เนื่องจากผลผลิตจากการปลูกชายังทำได้ไม่ดีพอ เพราะชุมชนใช้วิธีการปลูกแบบดั้งเดิม และอาศัยวิธีการทางธรรมชาติเป็นหลัก ผลผลิตที่ได้จึงมีจำนวนจำกัด และคุณภาพชาไม่สม่ำเสมอ ส่งผลต่อรายได้ของชุมชนที่ไม่แน่นอน FWD จึงเข้าไปให้ความช่วยเหลือและพร้อมเคียงข้างสนับสนุนชุมชนให้พัฒนาตนเองได้อย่างยั่งยืน โดยเริ่มทำงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มผลผลิตที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน

พร้อมสนับสนุนให้ชาอัสสัมจากดอยปู่หมื่นเป็นที่รู้จัก เพื่อนำรายได้เข้าสู่ชุมชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาทางสังคมในเรื่องการทิ้งพื้นที่ของคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านไปในเวลาเดียวกัน พร้อมกันนั้นเราได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยได้สนับสนุนการสร้างจุดทิ้งขยะในชุมชน เพื่อช่วยลดปัญหาการทิ้งขยะไม่เป็นที่ซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกเสียคุณภาพ

ชุมชนลาหู่ บนดอยปู่หมื่น

เก็บใบชาบนดอยปู่หมื่น
การทำงานในครั้งนี้ของเราได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรที่ดี เช่น คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท. เข้าช่วยพัฒนาโครงการต่อยอดทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่

โครงการธนาคารต้นกล้า

ดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 โดยมีเป้าหมายเพิ่มประชากรต้นกล้าชาและเพิ่มผลผลิตชาให้กับชุมชน จัดตั้งคณะทำงานธนาคารต้นกล้าเพื่อให้ชุมชนบริหารจัดการต้นกล้าชาอย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การเพาะพันธุ์อย่างมีคุณภาพเพื่อผลผลิตที่สมบูรณ์ มอบต้นกล้าให้สมาชิกเพื่อเพิ่มปริมาณต้นชา และส่งเสริมให้เกิดการจัดการทรัพยากรต้นกล้าและเมล็ดพันธุ์อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งให้ความรู้ในการบริหารจัดการธนาคารต้นกล้า วางแผนการดำเนินงานและการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นระบบ
ในปี 2565 เราเริ่มเปิดรับสมาชิกโครงการธนาคารต้นกล้า รุ่นที่ 1ซึ่งคัดได้จำนวน 21 ครัวเรือน จากนั้นเราได้มีการสำรวจผลดำเนินงาน พบว่า 86.6% ของสมาชิกสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้จนมองเห็นถึงผลลัพธ์ที่ประสบผลสำเร็จ ส่วนในปีนี้ (2566) มีสมาชิกใหม่ในรุ่นที่ 2 เพิ่มขึ้น 12 ครัวเรือน ทำให้ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 33 ครัวเรือน


โครงการพัฒนาคุณภาพชา
เป้าหมายคือการบูรณาการให้สมาชิกโครงการธนาคารต้นกล้า ขับเคลื่อนการผลิตที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ โดยมีผลผลิตตามหลักเกษตรอินทรีย์ (ออร์แกนิค) โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีการนำพลังแสงอาทิตย์มาใช้ทดแทนพลังงานไฟฟ้า สำหรับการอบบใบชา รวมถึงการเพาะปลูกโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์จากการเตรียมปุ๋ยหมักไว้ใช้เอง

1) เพิ่มคุณภาพจากผลผลิตในปัจจุบัน ผ่านการพัฒนาโรงอบใบชา ดำเนินการตั้งแต่ปี 2565 ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว ร่วมออกแบบนวัตกรรม“โรงอบชาอัจฉริยะ” จากเดิมระบบอบแห้งที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ซึ่งไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในโรงอบให้สม่ำเสมอได้ ทำให้ยากต่อการคำนวนระยะเวลาในการตากชาในแต่ละรอบ มาตรฐานการผลิตจึงขึ้นอยู่กับสภาพอากาศซึ่งเป็นปัจจัย
ดังนั้น “โรงอบชาอัจฉริยะ” จึงเข้ามาช่วยโดยการติดตั้งเครื่องมืออบแห้งแรงลม ที่สามารถใช้ได้ทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อทำให้กระบวนการผลิตสามารถควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้นเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีการตรวจวัดอุณหภูมิภายในโรงอบตลอด 24 ชม ในรูปแบบอุปกรณ์ IoT ทำให้โรงอบชาสามารถปรับอุณหภูมิได้เหมาะสมเป็นอัตโนมัติ สามารถควบคุมและลดระยะเวลาการตากชาในโรงอบ เพิ่มผลผลิตต่อรอบต่อวัน เพิ่มคุณภาพผลผลิตให้เป็นมาตราฐาน เพื่อให้ชุมชนสามารถขายใบชาในปัจจุบันได้ในราคาที่สูงขึ้น

2) เพิ่มปริมาณของผลผลิตใบชาในอนาคต ผ่านโครงการธนาคารต้นกล้า ที่มอบต้นกล้าชาและเมล็ดพันธุ์ให้กับชุมชนซึ่งเป็นสมาชิกในโครงการ พร้อมให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาศักยภาพเกี่ยวกับกระบวนการเพาะปลูก ตั้งแต่การเพาะเมล็ดและคัดเลือกต้นกล้าที่แข็งแรง จัดอบรมเรื่องการดูแลต้นกล้า การใช้ปุ๋ยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการเก็บเกี่ยวตามมาตรฐาน

และในปีนี้ สมาชิกในชุมชนมีแนวคิดร่วมกันในการผลักดันให้ชาดอยปู่หมื่นก้าวสู่มาตรฐาน Organic Thailand เพื่อส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของพื้นที่มีราคาสูงขึ้นพร้อมทั้งเพิ่มรายได้ในระยะยาว

โครงการเพิ่มมูลค่าชาอัสสัม

ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 จากแนวคิดในการนำใบชาไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นเพื่อยกระดับชาอัสสัมจากดอยปู่หมื่นให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยได้รับการสนับสนุนจาก “เชฟชุมพล แจ้งไพร” เชฟมิชลิน 2 ดาว ผู้นำเสนอประสบการณ์อาหารไทยแบบ Fine Dining นำใบชามารังสรรค์ 3 เมนูอาหารคาว และ 2 เมนูเครื่องดื่ม พร้อมวางขายเมนูพิเศษในร้านหวานไทย ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม ถึง 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา


“แผนการพัฒนาชุมชนขั้นต่อไปคือการเตรียมความพร้อมสำหรับช่องทางการจัดจำหน่าย โดยการอบรมให้ความรู้แก่ชุมชนและเตรียมอุปกรณ์ในการขายผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ ช่องทางออนไลน์ รวมถึงการออกบูธแสดงสินค้า เป็นต้น


โดยเรามุ่งหวังให้ชุมชนสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองหลังจากได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมความรู้ทั้งในเรื่องสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดย FWD ประกันชีวิต จะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโครงการนี้เป็นโมเดลต้นแบบในการพัฒนาชุมชนอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” นายเดวิดกล่าว

มอบต้นกล้าชาอัสสัม ให้สมาชิกรุ่นที่ 2 ในโครงการธนาคารต้นกล้า


ด้านนางสาวจิราวรรณ ไชยกอ หนึ่งในผู้นำชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น ซึ่งเป็นผู้บริหาร หจก.อาปาที ออร์แกนิค ผู้ผลิตและจำหน่ายใบชา ภายใต้แบรนด์ “อาปาที” และผู้บริหารโรงแรมภูมณี ลาหู่ โฮม โฮเทล กล่าวขอบคุณ FWD ประกันชีวิต และพันธมิตรที่เข้ามาร่วมพัฒนาชุมชนลาหู่ ดอยปู่หมื่น อย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกผู้ปลูกชาอัสสัม ได้รับองค์ความรู้ใหม่และเมื่อนำไปใช้จริงก็ได้ผลผลิตใบชาอัสสัมที่มีคุณภาพและปริมาณใบชาเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

“อย่างข้อจำกัดในกระบวนการผลิตชา โรงอบชาอัจฉริยะ (SMART) ที่มีการติดตั้งถาดบรรจุใบชาในโรงอบชา เราพบว่าตากชาได้เพิ่มขึ้นจาก 60 เป็น 100 ถาด เคยตากใบชาสดได้ 200 กก./รอบ ก็ได้ 300 กก./รอบ เดิมเคยได้ปริมาณใบชาแห้งราว 40 กก./รอบ ก็เพิ่มเป็น 60 กก./รอบ นอกจากนี้ยังได้รับความสะดวก ลดค่าใช้จ่ายจากการติดตั้งระบบ SMART Device ภายในโรงอบชา ซึ่งแสดงผลฐานข้อมูลอุณหภูมิและความชื้นของโรงอบชาผ่านการนำเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนมาใช้อ่านข้อมูล

อีกประเด็นสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มีการนำชาตัวอย่างไปวิเคราะห์หาสารประกอบทางเคมีเมื่อสกัดด้วยสาร Ethanol พร้อมเปรียบเทียบกับชาที่ทำการวิจัยในต่างประเทศ ทำให้พบว่าชาอัสสัมของเรามีคุณภาพดี นอกจากนี้ เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา มีการนำชาตัวอย่างมาตรวจหารสารประกอบ จากตำแหน่งการตากชาภายในโรงอบในตำแหน่งต่างๆ ทำให้ทราบว่าการตากชาในโรงอบนั้นได้คุณภาพชาที่ดี เพราะมีการกระจายความร้อนสม่ำเสมอ และมีการไหลเวียนของอากาศทั่วถึง”