สมศ. เปิดแนวทางการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ชูแนวคิดปรับระบบประกันคุณภาพการศึกษาใหม่ มุ่งให้แต่ละสถานศึกษาออกแบบระบบให้เหมาะสม พร้อมนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกที่ได้รับมากำหนดไว้ในวิสัยทัศน์และเป้าหมายของสถานศึกษา เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอดในการพัฒนาการเรียนการสอนของสถานศึกษาต่อไป
พร้อมเผยผลการประเมินตั้งแต่เดือน ต.ค.65 จนถึงปัจจุบัน สมศ.ประเมินสถานศึกษาไปแล้ว 8,283 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 62.54 จากเป้าหมายสถานศึกษาจำนวน 13,245 แห่ง และขณะนี้สมศ. อยู่ระหว่างการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาที่เหลือ โดยคาดว่าจะประเมินแล้วเสร็จในช่วงเดือนกันยายน 2566 นี้
ดร.นันทา หงวนตัด รักษาการผู้อำนวยการ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) เปิดเผยถึงแนวทางการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาว่า ที่ผ่านมาพบปัญหา 3 ประการ คือ
1) สถานศึกษาบางส่วนไม่มีแรงจูงใจในการนำผลการประเมินไปใช้ ซึ่งปัจจุบัน สมศ. ได้นำโครงการส่งเสริมการนำผลประเมินไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมให้สถานศึกษาหลังจากเข้ารับการประเมินแล้วสามารถนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกและข้อเสนอแนะไปพัฒนาต่อให้เป็นรูปธรรม โดยดำเนินการร่วมกับสถาบันอุดมศึกษา 27 แห่งทั่วประเทศ และผู้ทรงคุณวุฒิกว่า 700 คนที่ขึ้นทะเบียนไว้ร่วมให้คำปรึกษา แนะแนวทางการดำเนินงานให้แก่สถานศึกษาตามความต้องการของสถานศึกษา โดยมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนา และต่อยอดศักยภาพการศึกษาไทย ภายใต้แนวคิด “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมพัฒนา”
2) ระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาบางแห่งยังไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการดำเนินการเป็นครั้งคราวเพื่อรองรับการประเมินคุณภาพภายนอกจาก สมศ. เท่านั้น จึงทำให้สถานศึกษาบางแห่งมองว่าการประเมินของ สมศ. เป็นภาระ
3) สถานศึกษาหลายแห่งที่ได้รับข้อเสนอแนะจาก สมศ. แม้จะนำไปปรับใช้กับการทำงาน แต่ไม่ได้นำไปกำหนดไว้ในแผนของสถานศึกษาเพื่อเป็นเป้าหมายการดำเนินงาน ซึ่งจากผลการวิจัยของ สมศ. พบว่า สถานศึกษามากกว่าร้อยละ 50 มีการนำผลการประเมินของ สมศ. ไปใช้วางแผนหรือปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานต่างๆ แต่พบว่ามีสถานศึกษาเพียง ร้อยละ 20 ที่นำผลการประเมินไปใช้ในการกำหนดเป้าหมายในแผนพัฒนา ส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพไม่เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ที่ผ่านมา การนำผลการประเมินไปปรับใช้เพื่อพัฒนาสถานศึกษายังไม่เป็นรูปธรรมเท่าที่ควร สถานศึกษาบางส่วนยังไม่มีการนำไปปรับใช้อย่างจริงจัง ดังนั้น เกณฑ์การประเมินรอบใหม่ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ของ สมศ. จึงมีการเพิ่มเติมเรื่องการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกที่ผ่านมาของสถานศึกษาแต่ละแห่งมาพิจารณาร่วมด้วย โดยสถานศึกษาต้องนำผลการประเมินที่ผ่านมาไปปรับปรุง พัฒนาสถานศึกษาตามข้อเสนอแนะจาก สมศ. ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น และการดำเนินงานต้องเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามีส่วนร่วมมากขึ้น อาทิ กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง หรือชุมชน เป็นต้น เพื่อเป็นการร่วมมือร่วมใจกันต่อยอดพัฒนาให้การดำเนินงานของสถานศึกษาบรรลุเป้าประสงค์ในที่สุด ดร.นันทา กล่าว
ทั้งนี้ สมศ. ยังคงให้ความสำคัญกับการประเมินคุณภาพภายนอกเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพสถานศึกษา โดยแนวทางการประเมินคุณภาพภายนอกปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จะกำหนดวิธีการประเมินคุณภาพภายนอกที่เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา ทั้งในส่วนของวิธีการและจำนวนวันประเมิน แตกต่างกันตามบริบทสถานศึกษา รวมทั้งเน้นการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สนับสนุนการประเมินตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ ตลอดจนการนำข้อมูลสารสนเทศไปใช้ในการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ พร้อมสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นการพิจารณาจากการดำเนินงานของสถานศึกษาที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่ต้องจัดทำข้อมูลหลักฐานเพื่อรองรับการประเมินคุณภาพภายนอกของ สมศ. ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดภาระของสถานศึกษาให้มากที่สุด
อย่างไรก็ดี สำหรับผลการประเมินสถานศึกษา โดยตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค. 65 ซึ่งปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จะเป็นปีสุดท้ายของการประเมินคุณภาพภายนอกภายใต้กรอบแนวทาง รูปแบบ และวิธีการประกันคุณภาพภายนอกภายใต้สถานการณ์จำเป็นและเร่งด่วนเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) จนถึงปัจจุบัน สมศ.ได้ดำเนินการประเมินสถานศึกษาไปแล้วจำนวน 8,283 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 62.54 จากเป้าหมายสถานศึกษาจำนวน 13,245 แห่ง และในขณะนี้ สมศ. อยู่ระหว่างการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาที่เหลือ โดยคาดว่าจะประเมินแล้วเสร็จในช่วงเดือนกันยายน 2566 นี้