สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ครบ 25 ปี เดินหน้าสานต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับกาแฟ ผู้คน และโลกของเรา เมื่อเร็วๆ นี้ จัดกิจกรรม Muanjai Coffee Farm Trip เยี่ยมชมแหล่งเพาะปลูกเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิกาชั้นเยี่ยม ณ หมู่บ้านแม่ขี้มูกน้อย อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
นางเนตรนภา ศรีสมัย กรรมการผู้จัดการ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ประเทศไทย ยึดมั่นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวก ผ่าน ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ซึ่งเน้นคุณค่าหลัก 3 ประการ คือ กาแฟ ผู้คน และโลกของเรา โดยในส่วนของการทำงานกับชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือนี้ สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับองค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน หรือ The Integrated Tribal Development Program (ITDP) และชาวไร่กาแฟ เพื่อการเพาะปลูกและรับซื้อเมล็ดกาแฟคุณภาพที่เอื้อประโยชน์ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม กิจกรรม Coffee Farm Trip แบบ ‘From Bean to Cup’ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การเยี่ยมชมการปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ การเก็บผลเชอร์รี่ การตากเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงการส่งเมล็ดกาแฟไปคั่วแบบสตาร์บัคส์โรสต์ มาเป็นเมล็ดกาแฟคุณภาพเยี่ยม เป็นการออกเดินทางเยือนแหล่งกำเนิดเมล็ดกาแฟแห่งความภาคภูมิใจ “สตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์” ซึ่งเป็นเสมือนคำมั่นสัญญาของสตาร์บัคส์ที่มีกับชาวไร่กาแฟและชุมชนของเรา”
“สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่สนับสนุน และร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคมและชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการสนับสนุนการเดินทางของกาแฟม่วนใจ๋เบลนด์ ผ่าน 3 ช่องทางประกอบด้วย 1. การอุดหนุนร้านกาแฟเพื่อชุมชน หรือ Starbucks Community Store ที่ร้านสตาร์บัคส์ หลังสวน โดยรายได้ 10 บาท จากการจำหน่ายเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ทุกแก้วที่ร้านกาแฟเพื่อชุมชนจะถูกนำไปช่วยเหลือชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของไทย 2. การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เมล็ดกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ เนื่องจากรายได้ 5 เปอร์เซ็นต์ของการจำหน่ายเมล็ดกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ ในร้านสตาร์บัคส์ทุกสาขาทั่วประเทศไทย จะถูกส่งต่อให้กับองค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน 3. การบริโภคเครื่องดื่มที่รังสรรค์จากกาแฟสตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์ ซึ่งรายได้ 15 บาท จากการจำหน่ายทุกแก้วจะถูกนำกลับไปพัฒนาและช่วยเหลือชุมชนที่เพาะปลูกกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ ในหลากหลายโครงการ ทั้งด้านการศึกษา สุขอนามัย และโครงการชลประทานต่างๆ เพื่อการพัฒนาชุมชนชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไป”
นับตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2545 สตาร์บัคส์ ประเทศไทย ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ องค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน หรือ The Integrated Tribal Development Program (ITDP) เพื่อการเพาะปลูกเมล็ดกาแฟอราบิก้าคุณภาพเยี่ยม โดยคำนึงถึงปัจจัยหลักเพื่อการเพาะปลูกและรับซื้อเมล็ดกาแฟ ซึ่งประกอบด้วย ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านคุณภาพของเมล็ดกาแฟ
ทั้งนี้ สตาร์บัคส์ มีแนวทางการดำเนินงานกับชาวไร่กาแฟดังนี้
• การรับซื้อเมล็ดกาแฟในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด เพื่อให้ชาวไร่กาแฟสามารถมมีรายได้ในการดูแลครอบครัว้
• การเข้าร่วม C.A.F.E. Practices (Coffee and Farmer Equity Practices) ซึ่งเป็นแนวทางในการรับซื้อเมล็ดกาแฟที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยคุณภาพกาแฟต้องผ่านเกณฑ์ที่กำหนด รวมถึงความโปร่งในเรื่องการเงิน
• การรับซื้อกาแฟที่ปลูกแบบดั้งเดิม หรือการปลูกใต้ร่มเงาไม้ (Shade grown) กาแฟที่ได้รับการรับรอง Fair Trade CertifiedÒ และ Certified Organic เพื่อส่งเสริมการความพยายามในการมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
• การช่วยจัดหาสินเชื่อเพื่อชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟเพื่อให้สามารถลงทุนกับไร่และอนาคตของพวกเขาได้ ด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุน และร่วมมือกับชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟ สหกรณ์ โรงงาน และผู้ส่งออกสินค้า ในการสร้างโรงเรียน สถานพยาบาล รวมถึงโครงการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน
“สตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์” คำว่า “ม่วนใจ๋” ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพาร์ทเนอร์ (พนักงาน) ของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย โดยมาจากภาษาท้องถิ่นภาคเหนือ มีความหมายว่า “ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม” โดยเมล็ดกาแฟนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้าชั้นดีจากแหล่งเพาะปลูกกาแฟในหมู่บ้านแม่ขี้มูกน้อย ที่มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสูง อากาศเย็นตลอดปี เหมาะแก่การปลูกกาแฟอราบิก้า และเมล็ดกาแฟจากหมู่เกาะอื่นๆ ในเอเชียแปซิฟิก ให้รสชาติหนักแน่น นุ่มลึก สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและกลิ่นไอดินธรรมชาติ ทั้งนี้กาแฟสตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์ เป็นกาแฟพิเศษที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ประเทศต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก อาจมีวางจำหน่ายเป็นกาแฟเฉพาะฤดูกาลบางช่วง และมีจำหน่ายในเว็บไซต์สตาร์บัคส์ในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
"ความตั้งใจของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย มุ่งมั่นสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เมล็ดกาแฟที่เราปลูกจึงไม่มีการใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช และปุ๋ยเคมี เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้อุดมสมบูรณ์และรักษาแหล่งน้ำใต้ดินให้สะอาด และยังเป็นกาแฟที่ปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ตามธรรมชาติ จึงเป็นการทำไร่กาแฟที่มีลักษณะกลมกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติและไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจและการดำเนินงานร่วมกับชาวไร่กาแฟทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างยั่งยืน"