ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบัน องค์กรธุรกิจทั่วโลก ต่างให้ความสนใจกับการดำเนินงานโดยคำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ที่เป็นปัจจัยความยั่งยืนอันส่งผลต่อสถานะของกิจการ ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่า เรื่องความยั่งยืน มิได้เป็นเพียงความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจที่ต้องบริหารจัดการ แต่ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจและตลาดใหม่ที่เอื้อต่อการเติบโตของกิจการ
การขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนในกิจการโดยทั่วไป จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ การวางแผน การดำเนินการ และการเปิดเผยผลการดำเนินงาน ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่นิยมใช้ คือ การใช้กระบวนการรายงานตามมาตรฐาน GRI (Global Reporting Initiative) ในการขับเคลื่อน ด้วยความที่เป็นวิธีซึ่งมีประสิทธิภาพสูง เพราะเป็นการคิดย้อนกลับจากผลการดำเนินงานที่คาดหวังก่อนล่วงหน้า เพื่อนำมาใช้กำกับทิศทางการดำเนินการผ่านตัวชี้วัดที่ระบุให้สอดคล้องกับผลที่คาดหวัง และย้อนมาสู่การกำหนดกรอบการทำงาน นโยบาย และกลยุทธ์ ก่อนที่จะดำเนินงาน
เป็นการหาคำตอบด้านความยั่งยืนที่ต้องการบรรลุในบริบทของกิจการ แล้วนำมาตั้งเป็นโจทย์สำหรับการขับเคลื่อนได้อย่างตรงจุด มากกว่าการกำหนดเป็นนโยบายหรือหลักการด้านความยั่งยืนแล้วถ่ายทอดลงไปในระดับปฏิบัติการให้ดำเนินการหรือกำหนดตัวชี้วัดกันเองในแต่ละฝ่าย
ทั้งนี้ จากการสำรวจของ KPMG ระบุว่า มาตรฐาน GRI เป็นมาตรฐานสากลที่ภาคธุรกิจนิยมใช้มากสุด โดยมีสัดส่วนราว 3 ใน 4 ของบริษัทที่จัดทำรายงานในกลุ่ม G250 (บริษัทที่มีรายได้สูงสุด 250 แห่งในโลก จากการจัดอันดับของ Fortune 500)
อย่างไรก็ดี องค์กรธุรกิจหลายแห่งที่นำมาตรฐาน GRI มาใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่
ความเข้าใจผิด #1 มาตรฐาน GRI ใช้สำหรับเขียนรายงานความยั่งยืน ตอนสิ้นปี
ที่ถูก คือ มาตรฐาน GRI มุ่งเน้นให้กิจการสามารถพัฒนากระบวนการรายงาน (Reporting) ขึ้นในองค์กร มิใช่มาตรฐานแนวทางในการเรียบเรียงเนื้อหารายงานเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งเล่มรายงาน (Report) เพราะหลักการสำคัญของ GRI คือ การบูรณาการเรื่องความยั่งยืนให้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กร เพื่อสร้างให้เกิดคุณค่าที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนของกิจการผ่านกระบวนการรายงาน
ในมาตรฐาน GRI คำว่า การรายงานความยั่งยืน อ้างถึงกระบวนการรายงานที่เริ่มตั้งแต่การกำหนดประเด็นสาระสำคัญ (Material Topics) ของกิจการ โดยพิจารณาจากผลกระทบที่มีนัยสำคัญที่สุดขององค์กร ไปจนถึงผลลัพธ์ที่เป็นข้อมูลซึ่งเปิดเผยแก่สาธารณะต่อการดำเนินงานกับผลกระทบเหล่านั้นในรอบปี ดังนั้น การใช้มาตรฐาน GRI จึงต้องเริ่มตั้งแต่ต้นปี
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การนำมาตรฐาน GRI ไปใช้อ้างอิง กิจการจะได้ “กระบวนการรายงาน” เป็น Product และได้ “เล่มรายงาน” เป็น By-product
ความเข้าใจผิด #2 บริษัทต้องดำเนินการและรายงานให้ครบถ้วนทุกประเด็นความยั่งยืน
ที่ถูก คือ กิจการต้องดำเนินงานและรายงานในประเด็นความยั่งยืนที่มีความเกี่ยวเนื่องและมีนัยสำคัญโดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการในทุกประเด็น เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุดบนเงื่อนไขของทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด ความสำคัญจึงอยู่ที่ความสามารถในการเลือกประเด็นที่สำคัญเพื่อดำเนินการ มากกว่าความสามารถในการเปิดเผยประเด็นทั้งหมดที่ได้ดำเนินการ
หลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ สามารถใช้กับการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของกิจการ ที่มิใช่การดำเนินการให้ดูครบทั้ง 17 เป้าประสงค์ (Goals) แต่ควรจะเลือกตอบสนองเฉพาะเป้าประสงค์ที่มีความเกี่ยวโยงกับลักษณะธุรกิจและนัยสำคัญของผลกระทบที่เกิดจากกิจการ โดยลงลึกไปถึงระดับเป้าหมาย (Targets) และระดับตัวชี้วัด (Indicators) ที่เกี่ยวข้อง
ในมาตรฐาน GRI ระบุให้กิจการควรกำหนดประเด็นสาระสำคัญสำหรับการรายงาน ด้วยการเข้าใจบริบทองค์กร การระบุผลกระทบที่เกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดขึ้น การประเมินนัยสำคัญของผลกระทบ และการจัดลำดับความสำคัญของผลกระทบที่มีนัยสำคัญที่สุดสำหรับการรายงาน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ตามมาตรฐาน GRI กิจการไม่จำเป็นต้องรายงานใน “ทุกเรื่อง” แต่ต้องดำเนินการและรายงานให้ “ถูกเรื่อง”
ความเข้าใจผิด #3 บริษัทต้องให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ
เรื่องนี้มีความเข้าใจผิดกันมาก ในหมู่ที่ปรึกษา นักวิชาชีพด้านความยั่งยืน แม้กระทั่งองค์กรผู้จัดทำรายงานที่เป็นบริษัทชั้นนำ ก็ยังมีการจัดลำดับความสำคัญของประเด็นที่คลาดเคลื่อน โดยไปให้น้ำหนักกับผลกระทบที่มีต่อธุรกิจ
ที่ถูก คือ กิจการต้องจัดลำดับความสำคัญของประเด็นโดยให้น้ำหนักกับผลกระทบที่เกิดจากธุรกิจที่มีต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม (People และ Planet) ในลักษณะที่มุ่งไปภายนอก (Outwards) มิใช่การให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนที่กระทบต่อผลประกอบการของบริษัท (Profit) ในลักษณะที่มุ่งมาภายใน (Inwards)
ในมาตรฐาน GRI ระบุว่า กิจการอาจระบุผลกระทบที่ต้องการรายงานได้ในหลายรูปแบบ แต่เมื่อใช้มาตรฐาน GRI กิจการต้องลำดับความสำคัญของการรายงานในประเด็นซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ในมาตรฐาน GRI นิยามประเด็นดังกล่าวว่า เป็นประเด็นสาระสำคัญของกิจการ
เพราะวัตถุประสงค์ของการรายงานความยั่งยืนโดยใช้มาตรฐาน GRI เน้นให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานของกิจการ ที่สนับสนุนหรือมุ่งตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยรวม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ในบริบทความยั่งยืนตามมาตรฐาน GRI กิจการต้องให้ความสำคัญในเรื่องที่ “เรากระทบโลก” มิใช่ในเรื่องที่ “โลกกระทบเรา”
หวังว่า บทความนี้ จะช่วยไขความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่องค์กรธุรกิจที่มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนอย่างถูกทิศทาง สมตามเจตนารมณ์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากมาตรฐาน GRI ไม่มากก็น้อย
บทความโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ
ประธานสถาบันไทยพัฒน์