สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ พร้อมด้วยพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 20 หน่วยงาน จัดงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ณ ศูนย์การประชุม ซี อาเซียน เพื่อเพิ่มโอกาสให้สตาร์ทอัพสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน และมาตรการสนับสนุนทั้งภาครัฐ เอกชน และนักลงทุน ในลักษณะ One-Stop Shop
โดยมุ่งสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่อยอดทางธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เศรษฐกิจใหม่ โดยมีกลุ่มสตาร์ทอัพ รวมถึงนักลงทุนไทยและต่างประเทศ เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน และมีนักลงทุนที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ให้ความสนใจสตาร์ทอัพไทยแล้ว 24 ราย นอกจากนี้ การสนับสนุนดังกล่าวจะเน้นผลักดัน 3 ด้าน ได้แก่ เกษตร หรือ Agtech อาหาร หรือ Foodtech และ การแพทย์ หรือ Medtech เนื่องจากเป็นสาขาที่ประเทศไทยมีความโดดเด่น สามารถดึงดูดการลงทุนในระดับนานาชาติเป็นอย่างดี และมีคาดการณ์ว่าสาขาจะสามารถเพิ่มมูลค่าได้ถึง 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 5 ปีข้างหน้า
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้การพัฒนานวัตกรรมมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นในการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ประเทศไทยต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาช่วยยกระดับประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมที่เรามีความเข้มแข็งเป็นทุนเดิม ไม่ว่าจะเป็นเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ การท่องเที่ยวและยานยนต์ ควบคู่กับการสร้างอุตสาหกรรม S-Curve ใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ยา ดิจิทัล โดยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในประเทศไทย ตลอดจนการเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาดของภูมิภาค เพื่อพลิกโฉมไทยสู่เศรษฐกิจมูลค่าสูง รวมถึงสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้คิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับศักยภาพของธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และ Startup ไปจนถึงการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ผ่านบุคลากรที่มีศักยภาพ และการสร้างบุคลากรคนรุ่นใหม่ให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ กล่าวว่า การจัดงานมหกรรม “BCG Startup Investment Day” ครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมีกลุ่มสตาร์ทอัพ รวมถึงนักลงทุนไทยและต่างประเทศ เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน ผ่านทั้งช่องทางออนไลน์ และออนไซต์ โดยนักลงทุนที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ให้ความสนใจสตาร์ทอัพไทยทั้ง 24 ราย ที่เข้าร่วมในกิจกรรม BCG Startup Pitching และคาดว่าจะเกิดความร่วมมือกันในลำดับต่อไป ทั้งนี้ บีโอไอพร้อมให้การส่งเสริมสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในกลุ่ม BCG ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอให้การส่งเสริมเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในช่วงต่อไป ผ่านมาตรการต่าง ๆ ภายใต้ พ.ร.บ. นี้ บีโอไอรับผิดชอบอยู่ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ. ส่งเสริมการลงทุน และ พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ. 2560 โดยตั้งเป้าหมายจะใช้เงินกองทุนเพิ่มขีดฯ สนับสนุนสตาร์ทอัพ จำนวน 30 ราย ในปี 2565
“สำหรับหลักเกณฑ์การให้เงินสนับสนุนสตาร์ทอัพของบีโอไอ มีดังนี้ (1) ต้องเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นมาไม่เกิน 5 ปี (2) ดำเนินกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กำหนด (3) ต้องได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากหน่วยงานอื่นมาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพ และ (4) ต้องเสนอแผนงาน โดยเฉพาะด้านบุคลากร ซึ่งบีโอไอจะสนับสนุนเงินเป็นค่าจ้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีและการบริหาร ในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 50” นางสาวดวงใจกล่าว
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า การจัดงานมหกรรม BCG Startup Investment Day ในครั้งนี้ NIA บีโอไอ และเครือข่ายพันธมิตร ต่างมุ่งผลักดันให้เกิดกลุ่มวิสาหกิจเทคโนโลยีเชิงลึก หรือ Deep Tech Startup ที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดย NIA ได้ทำหน้าที่เป็น “บูรณากรระบบ หรือ Systems Integrator” เพื่อเชื่อมโยงให้เกิดแนวร่วมจากทั้งภาครัฐและเอกชน ในการขับเคลื่อนให้เกิดระบบนิเวศ Deep Tech Startup อย่างแท้จริง
“NIA ได้ตั้งเป้าให้เกิด Deep Tech Startup ขึ้นภายในประเทศไทย 100 ราย ภายในปี 2566 โดยในกลุ่ม BCG จะเน้นผลักดัน 3 ด้าน ได้แก่ เกษตร (Agtech) อาหาร (Foodtech) และ การแพทย์ (Medtech) เนื่องจากเป็นสาขาที่ประเทศไทยมีความโดดเด่น สามารถดึงดูดการลงทุนทางนวัตกรรมในระดับนานาชาติเป็นอย่างดี ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจและเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมพลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และมีคาดการณ์ว่าสาขาเศรษฐกิจนี้จะสามารถเพิ่มมูลค่าได้ถึง 4.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24 ของ GDP ในอีก 5 ปีข้างหน้า” ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติม