สาเหตุที่ภาคธุรกิจนิยมจัดทำและเผยแพร่รายงานแห่งความยั่งยืน (Sustainability Report) ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา มิใช่เพียงเพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการเปิดเผยข้อมูลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับสื่อสารกับผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และพร้อมต่อการตรวจสอบซักถามเท่านั้น
แต่รายงานแห่งความยั่งยืนยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการปรับปรุงการดำเนินงานในทั้งสามด้านได้อย่างเป็นระบบ โดยมีตัวบ่งชี้การดำเนินงาน และแนวการบริหารจัดการที่ชัดเจน ตามหลักการที่ว่า “เรื่องที่วัดผลได้ยาก จะบริหารจัดการได้ยาก” (You can’t manage what you can’t measure)
การที่รายงานแห่งความยั่งยืนได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง เนื่องเพราะเป็นการให้ข้อมูลที่สะท้อนผลการดำเนินงานที่มิใช่ตัวเลขทางการเงิน (Non-financial Disclosure) ได้อย่างเป็นระเบียบแบบแผน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่บ่งชี้ถึงโอกาสและความเสี่ยง รวมทั้งขีดความสามารถขององค์กรที่มีต่อผลประกอบการในอนาคตของกิจการ นอกเหนือจากข้อมูลที่ได้รับจากรายงานประจำปีในแบบเดิม ซึ่งเป็นข้อมูลที่บ่งบอกถึงความสามารถขององค์กรและผลประกอบการที่ผ่านมาในอดีตของกิจการ
ความแตกต่างสำคัญระหว่างรายงานทั้งสองฉบับอยู่ตรงที่ ประการแรก รายงานแห่งความยั่งยืน มุ่งเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ใช้รายงาน (Target Audience) ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ในทุกกลุ่ม ตั้งแต่ภาคประชาสังคมจนถึงกลุ่มผู้ลงทุน ขณะที่รายงานประจำปีในรูปแบบเดิม จะเน้นการเปิดเผยข้อมูลที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มผู้ลงทุน (Investors) เป็นหลัก
ด้วยเหตุที่กลุ่มผู้ใช้รายงานแต่ละกลุ่ม มีความคาดหวังหรือมีความสนใจในข้อมูลที่เปิดเผยไม่เหมือนกัน จึงนำมาสู่ความแตกต่างประการที่สอง คือ สารัตถภาพ (Materiality) หรือสาระสำคัญของข้อมูลที่นำมาเปิดเผย โดยในรายงานแห่งความยั่งยืน จะให้องค์กรพิจารณานัยสำคัญของผลกระทบที่เกิดจากองค์กร (ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม) โดยวิเคราะห์เทียบกับอิทธิพลต่อการประเมินและตัดสินใจของผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้ได้ประเด็นที่มีสาระสำคัญ (Material Topics) มาบรรจุไว้ในรายงาน หลังจากการสานสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นได้ทั้งพนักงาน เจ้าของกิจการ ผู้ส่งมอบ ผู้จัดจำหน่าย ชุมชนที่อยู่รายรอบแหล่งดำเนินงาน ผู้ลงทุน เจ้าหนี้ ลูกค้า ฯลฯ
ขณะที่ รายงานประจำปีในรูปแบบเดิม จะพิจารณาสาระสำคัญของข้อมูลที่นำมาเปิดเผย จากสิ่งที่เกี่ยวเนื่องและสำคัญซึ่งส่งอิทธิพลต่อการประเมินของผู้ลงทุน ว่ามีผลกระทบกับความสามารถต่อการสร้างคุณค่าให้กับกิจการ ซึ่งในการวิเคราะห์นี้ จะได้มาซึ่งประเด็นนัยสำคัญทางการเงิน (Financially Material Topics) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้ลงทุนหรือเจ้าของเงินทุน
ทำให้ในปัจจุบัน กิจการที่ต้องการสื่อสารถึงผลการดำเนินงานขององค์กรทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)ไปยังกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง จึงเลือกที่จะจัดทำรายงานแห่งความยั่งยืน เพิ่มเติมจากรายงานประจำปีในรูปแบบเดิม (หรือใช้วิธีผนวกข้อมูล ESG และข้อมูลทางการเงินรวมไว้ในรายงานฉบับเดียวกัน)
ในความเป็นจริง มีกิจการอีกจำนวนมากที่คงเปิดเผยข้อมูลโดยใช้การรายงานประจำปีในแบบเดิม โดยยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อมูล ESG เลยทำให้องค์กรไม่สามารถกำหนดตัวบ่งชี้การดำเนินงาน ไม่มีการติดตามวัดผล รวมถึงไม่มีการบริหารจัดการในประเด็นสำคัญเหล่านั้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการนำองค์กรไปสู่ความยั่งยืน และการสร้างคุณค่าในระยะยาว
นอกจากนี้ กิจการยังสูญเสียโอกาสต่อการเข้าถึงเม็ดเงินลงทุนที่ถูกบริหารจัดการภายใต้หลักการลงทุนที่ยั่งยืน ซึ่งจากการสำรวจของแมคคินซี่และกลุ่มพันธมิตรการลงทุนที่ยั่งยืนระดับสากล (Global Sustainable Investment Alliance: GSIA) ระบุว่า ตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์โดยใช้ปัจจัย ESG ทั่วโลก มีอัตราเพิ่มขึ้นจาก 22.8 ล้านล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.2016 ขยับขึ้นมาเป็น 30.6 ล้านล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.2018 และมาอยู่ที่ 37.8 ล้านล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.2020
และคาดการณ์ว่า จะมีมูลค่าสูงถึง 53 ล้านล้านเหรียญ ในปี ค.ศ.2025 คิดเป็นร้อยละ 37.72 หรือมากกว่าหนึ่งในสามของสินทรัพย์การลงทุนทั้งหมดที่ 140.5 ล้านล้านเหรียญ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในวันนี้ กิจการที่ขึ้นชื่อว่าดำเนินธุรกิจด้วยวิถียั่งยืน จำเป็นต้องเปิดเผยทั้งข้อมูลที่มีนัยสำคัญทางการเงิน แล้วสื่อสารให้แก่กลุ่มผู้ลงทุน และข้อมูลความยั่งยืนที่เป็นผลมาจากการทดสอบสารัตถภาพ แล้วสื่อสารให้แก่กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง ผ่านช่องทางที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย
เพราะบรรทัดสุดท้ายของการรายงาน คือ ความโปร่งใสพร้อมรับการตรวจสอบที่ต้องสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสียโดยรวม ตลอดจนการปรับปรุงการดำเนินงานโดยใช้การรายงานเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวิถีของการพัฒนาที่ยั่งยืน และการสร้างคุณค่าให้แก่กิจการควบคู่ไปพร้อมกัน
บทความโดย ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ
ประธานสถาบันไทยพัฒน์