เตรียมย้ายลูกช้างป่า "ขวากรัก" ไปหาแม่รับ และรักษาต่อ ที่สวนนงนุช

"ขวากรัก" ชื่อเรียก ลูกช้างป่า เพศเมีย อายุประมาณ 3 เดือน ที่พลัดหลงจากโขลง เพราะได้รับบาดเจ็บจากการโดนบ่วงแร้วรัดขาหน้าขวา และถูกยิง จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเจ้าหน้าที่ตามพบตัวบริเวณบ้านคลองยายไท ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา

ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่นำมารักษา ณ หน่วยพิทักษ์อุทยานเขาหินขวาก อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น บ.โป่งเกตุ ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี โดยทำคอกชั่วคราวเพื่อเป็นสถานที่อนุบาลดูแล และอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง

ซึ่งด้วยความน่ารัก น่าเอ็นดู ของลูกช้างน้อย พี่ๆ และทีมสัตวแพทย์ ได้ตั้งชื่อน้องว่า " ขวากรัก" ตามชื่อ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้นที่1 (เขาหินขวาก) ที่ได้นำน้องมาดูแลนั่นเอง




ล่าสุด (30 พ.ย.64) นายเผด็จ ศิริดำรง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์เนินพลับหวาน พัทยา พร้อมกับทีมสัตวแพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมตรวจสอบสุขภาพเพื่อประเมินอาการและวางแผนในการเคลื่อนย้ายลูกช้างป่า ในวันที่ 1 ธ.ค. 64 ไปยังสวนนงนุช (พัทยา) เพื่อนำลูกช้างป่า "ขวากรัก" ไปหาแม่รับ และเพื่อดำเนินการรักษาต่อไป

สำหรับอาการบาดเจ็บ พบสองจุดสำคัญ ขาหน้าขวา โดนบ่วงแร้วรัดเกือบขาด และต้นขาหน้าข้างซ้ายที่พบร่องรอยถูกยิง

น.ส.สุนิตา วิงวอน นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ประจำสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) เปิดเผยว่า ทีมสัตวแพทย์ประจำ ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) ร่วมกับทีมสัตวแพทย์ศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) ได้ร่วมกันทำแผลขาทั้งสองข้างของลูกช้างป่า พบว่าแผลขาหน้าข้างขวาที่ถูกบ่วงรัด ยังคงมีหนองและมีเนื้อตายบางส่วนในส่วนข้อเท้าส่วนล่าง ส่วนเนื้อเยื่อส่วนบนที่ติดกับขานั้นเนื้อยังยังมีสีชมพูดี จึงไม่ตัดสินใจทำการตัดออกเนื่องจากยังมีเลือดมาเลี้ยง จะส่งผลต่อการเสียเลือด จึงทำการล้างแผลและพันแผลไว้เพื่อกันสิ่งสกปรกและการเสียดสีเพิ่ม

ส่วนบาดแผลลักษณะเป็นรูที่ต้นขาหน้าข้างซ้าย เมื่อทำการเอ็กซเรย์ พบว่ามีหัวโลหะและเศษโลหะคาดว่าเป็นลูกกระสุนไม่ทราบชนิดฝังอยู่ในกล้ามเนื้อ จึงทำการล้างแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่พร้อมปิดแผลป้องกันสิ่งสกปรกและแมลง ซึ่งลูกกระสุนโลหะฝังอยู่ลึกมากจึงไม่สามารถนำออกมาได้ และถ้าผ่านำออกมาจำเป็นต้องวางยาเพื่อผ่าตัด อาจจะมีความเสี่ยงและทำให้เสียเลือดมากเพราะลูกช้างยังไม่สมบูรณ์แข็งแรง จึงพิจารณาแนวทางการรักษาแผลเปิดและคุมการติดเชื้อ และลดปวดลดอักเสบให้ก่อน ซึ่งลูกช้างยังคงร่าเริงดี ไม่ซึม และเริ่มปรับสภาพการกินนม


ด้าน หมอล็อต นสพ.ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โพสต์ทางเพจเฟซบุ๊ค ภัทรพล ล็อต มณีอ่อน เชิญชวนประชาชนเป็นหูเป็นตา “รณรงค์ห้ามใช้กับดักสัตว์ป่า” ว่าวิธีการเช่นนี้ ไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหา

“การเปลียนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถิ่นอาศัย แหล่งอาหาร แหล่งน้ำ แหล่งดินโป่ง ลดน้อยลง เกิดการเปลี่ยนแปลง รวมถึงปัจจัยเรื่องเสียง แรงสั่นสะเทือนจากถนน และกับดักสัตว์ป่าต่างๆ ซึ่งถือเป็นปัจจัยรบกวนสวัสดิภาพที่สำคัญ ทำให้ช้างป่าออกนอกพื้นที่ สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่ไม่รู้เรื่อง”

การใช้เครื่องมือดักสัตว์ป่าดังกล่าวเป็นภัยคุกคามร้ายแรงอย่างยิ่งต่อสวัสดิภาพของสัตว์ป่า เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ประกอบได้ง่าย ใช้อุปกรณ์ที่หาได้โดยทั่วไป และสามารถอำพรางการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ได้ไม่ยาก สัตว์ป่าเมื่อติดกับดักจะดิ้นด้วยความตกใจ ทุกข์ทรมาน

ลักษณะของบ่วงที่ผูกนั้นเมื่อสัตว์ยิ่งดิ้นหรือยิ่งขยับ บ่วงจะยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ ช้างป่าบางตัวที่ติดบ่วงจะถูกรัดจนบาดลึกถึงกระดูกเกิดเป็นแผลเน่าเป็นสาเหตุให้ล้มตายได้ในที่สุด บางกรณีที่เจ้าหน้าที่และสัตวแพทย์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช สามารถเข้าทำการช่วยเหลือและรักษาได้ทันท่วงที แต่ถึงกระนั้นช้างป่าที่ติดบ่วงแร้วนั้น จะพิการไม่สามารถเดิน หากิน หรือใช้ชีวิตอยู่ในป่าด้วยตัวเองตามปกติได้อีกต่อไปตลอดทั้งชีวิต

“มาร่วมกันรณรงค์ในการต่อต้านการวางกับดักสัตว์ป่าเพื่อสวัสดิภาพของสัตว์ป่าและลดปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่กันครับ”

ข้อมูลอ้างอิง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช