xs
xsm
sm
md
lg

ผลสำรวจล่าสุดชี้ ผู้บริโภคเกินครึ่งหรือ 55% เลี่ยงการทิ้งและสร้างขยะอาหาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้บริโภคก้าวสู่ “วิถีใหม่” มุ่งใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปัญหาขยะ และสุขภาพ เต็ดตรา แพ้ค อินเด็กซ์ 2564 สำรวจแรงจูงใจและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลก พร้อมชี้ถึงเทรนด์ที่ยังคงอยู่ในยุคหลังการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

เต็ดตรา แพ้ค เผยว่า โควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาคิดทบทวนถึงแนวทางการใช้ชีวิตและการเปลี่ยนวิถีชีวิตในแต่ละวันของพวกเขา ในรายงานเต็ดตรา แพ้ค อินเด็กซ์ ฉบับล่าสุด การระบาดใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้ตอกย้ำให้ผู้คนมองเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการใช้เวลาอยู่กับครอบครัวที่บ้านหรือกับผู้คนรอบๆ ตัว การรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มร่วมกันซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในความสัมพันธ์เหล่านี้


โดยพื้นฐานแล้ว ความเปราะบางที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมที่เราทุกคนประสบในช่วงของการระบาดใหญ่ทั่วโลก ได้เปลี่ยนความกังวลไปสู่การดูแลป้องกันอย่างจริงจัง รวมถึงกระตุ้นให้เราเกิดความต้องการที่จะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ตัวเราเอง อาหารของเรา ชุมชนของเรา และโลกของเรานั้นปลอดภัย นอกจากนี้ ความปลอดภัยและความมั่นคงด้านอาหารยังถือว่ามีความสำคัญมากเช่นกัน การระบาดใหญ่ชี้ให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพและยังได้แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนต่าง ๆ ในระบบอาหารออกมาให้เราเห็นอย่างชัดเจน ความกังวลมากมายที่เรามีต่อสิ่งแวดล้อมชัดเจนมากขึ้น มลพิษและขยะพลาสติกในมหาสมุทรนั้นถือเป็นความกังวลหลักที่เกิดขึ้น (83%) ตามด้วยภาวะโลกร้อน (78%) ซึ่งนับเป็นสามในสี่ของผู้บริโภคที่ทำแบบสำรวจใน 9 ประเทศ โดยนำหน้าความกังวลในเรื่องปัญหาขยะอาหาร (77%) และการเข้าถึงอาหาร (71%) ยิ่งไปกว่านั้น เกือบครึ่ง (49%) ของประชากรทั่วโลกยังตระหนักว่า ทุกการตัดสินใจของพวกเขาในชีวิตล้วนส่งผลส่งกระทบผลต่อสิ่งแวดล้อม


การขาดอิสรภาพและไร้ทางเลือกในช่วงกว่า 20 เดือนที่ผ่านมาได้ผลักดันให้ผู้บริโภคทำทุกหนทางที่จะได้กลับมาควบคุมและเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม พวกเขามองหาสิ่งที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตแบบเชิงรุก ยกตัวอย่างเช่นการเลือกรับประทานอาหาร เพื่อยกระดับสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ และการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว โดยหันมารีไซเคิลกันมากขึ้นและลดการสร้างขยะ ยกตัวอย่างเช่น 62% ของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพของสิ่งที่พวกเขาเลือกรับประทาน ในขณะที่ 54% ทิ้งอาหารน้อยลงกว่าในช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กว่า 72% ของผู้บริโภคเชื่อว่า “บุคคลเช่นฉัน” จะต้องลงมือทำทันที มิฉะนั้นจะล้มเหลวในรุ่นต่อไปในอนาคต

ผู้บริโภคมองหาผู้ประกอบการที่จะช่วยนำและส่งเสริมนิสัยรูปแบบใหม่เหล่านี้ให้กับพวกเขาได้อย่างยั่งยืน โดยกว่าหนึ่งในสามของผู้ทำแบบสำรวจ (35%) จะเลือกแบรนด์จากข้อมูลรับรองด้านความยั่งยืนมากกว่าในช่วงก่อนเกิดการระบาดใหญ่ ในขณะที่หนึ่งในสอง (50%) กล่าวว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่บรรจุภัณฑ์อาหารจะต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 61% คาดหวังให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มก้าวมาเป็นผู้นำในการหาแนวทางโซลูชันอันยั่งยืน


ด้วยการใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าที่เคย เราจะเห็น “ร่องรอย” ของขยะที่เราสร้างขึ้นมาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ในการแก้ปัญหานี้ ผู้บริโภคเลือกเปลี่ยนการใช้ชีวิตในแต่ละวันของตัวเอง เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์รอบตัวที่เกิดขึ้น มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้บริโภค (55%) มีความรอบคอบในการเลือกซื้ออาหารมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการทิ้งและสร้างขยะอาหาร ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่ง (46%) ชี้ว่า ตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ พวกเขาพยายามคัดแยกขยะ ไม่ว่าจะเป็นกล่องกระดาษ แก้ว หรือพลาสติก เพื่อนำไปรีไซเคิลอย่างเหมาะสมต่อไป หนึ่งในสอง (50%) บอกว่า พวกเขาจะหันมารีไซเคิลให้มากขึ้นในปีหน้า เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยแก้ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

การระบาดใหญ่ยังทำให้ผู้คนคิดรอบคอบถึงสิ่งต่างๆ มากขึ้น และมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นยิ่งขึ้นกว่าที่เคย พวกเขารู้ถึงคุณค่าในความสัมพันธ์ที่พวกเขามีอย่างแน่นแฟ้นกับเพื่อน ๆ ครอบครัว และผู้คนรอบ ๆ ตัวในรูปแบบใหม่ และการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มร่วมกันได้เข้ามามีบทบาทสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้เป็นไปอย่างสนุกสนานและเพลิดเพลิน

การทำกิจกรรม “ร่วมกันนอกบ้าน” เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ และผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อของจากผู้ประกอบการท้องถิ่น และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากในประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่เพิ่มขึ้นระหว่างสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกเหนือจากครอบครัวและเพื่อนฝูงแล้ว ทุกคนยังพยายามที่จะสร้างสังคมใหม่ร่วมกัน โดยเกือบหนึ่งในสาม (32%) ร่วมผลักดันให้ชุมชนของพวกเขาหันมาลดขยะกันอย่างเต็มที่

ผู้บริโภคเร่งมองหาหนทางที่จะเปลี่ยนความเปราะบางที่เกิดขึ้นในชีวิตให้เป็นความยืดหยุ่น ซึ่งหมายถึงทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจของพวกเขาดีขึ้นผ่านการเลือกสรรอาหารและวัตถุดิบต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ ผู้บริโภคต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และต้องสูญเสียหลายๆ สิ่ง สิ่งที่ชัดเจนก็คือ ผู้บริโภคกำลังหันมาเริ่มจากตัวพวกเขาเองเพื่อสร้างอนาคตที่มีความยั่งยืนมากขึ้น และคาดหวังว่าบริษัทต่าง ๆ จะเลือกทำแบบเดียวกัน รวมถึงช่วยให้พวกเขาสามารถทำภารกิจเพื่อโลกใบนี้ได้สำเร็จลุล่วง

นายสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย)
“เต็ดตรา แพ้ค อินเด็กซ์ ได้พูดถึงเทรนด์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกอยู่เสมอ แต่รายงานในปีนี้เชื่อมโยงกับสิ่งที่เราเองสังเกตได้จากผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างชัดเจน” นายสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว 

“การ ‘กลับไปใช้ชีวิตธรรมดาในแบบเดิมๆ’ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงการทำอาหารที่บ้าน การรับประทานอาหารกับครอบครัว และการลดขยะ ได้เปลี่ยนความวิตกกังวลไปสู่การดูแลป้องกันอย่างจริงจัง พฤติกรรมของพวกเรากำลังเปลี่ยนไปสู่วิถีใหม่จากการเกิดขึ้นของการระบาดใหญ่ และเราทุกคนต่างเต็มใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ในด้านสิ่งแวดล้อม ขยะ และสุขภาพด้วยตัวของเราเองมากกว่าที่เป็นมา”


กำลังโหลดความคิดเห็น