เพราะคนรุ่นก่อนเปิดโอกาสให้มองคนในอนาคตจากจุดยืนของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว พ่อแม่วัยกลางคน หรือผู้เกษียณอายุ ที่มีประสบการณ์แตกต่างกัน ตอบโต้กับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแตกต่างกัน
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ Pew Research Center มุ่งมั่นวัดทัศนคติของสาธารณชนในประเด็นสำคัญและบันทึกความแตกต่างในทัศนคติเหล่านั้นเมื่อเกิดการข้ามรุ่นของกลุ่มประชากร
รายงานการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจคือ คนยุค Millennials ที่ทรงอิทธิพลในช่วงกว่าทศวรรษที่ผ่านมา จนกระทั่งในปี 2018 การศึกษาเริ่มเห็นได้ชัดว่าถึงเวลาที่เป็นจุดตัดระหว่างคนยุค Millennials กับรุ่นต่อไป เมื่ออายุครบ 38 ปีในปีนี้ คนรุ่น Millennials ที่อายุมากที่สุดได้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ก่อนที่คนอายุน้อยที่สุดในปัจจุบันจะเกิดและเตรียมมีบทบาททดแทน เริ่มมองหาสิ่งที่อาจจะไม่เหมือนคนในกลุ่มรุ่นก่อน
ศูนย์วิจัย Pew ตัดสินใจกำหนดให้ใช้ปี 1996 เป็นปีเกิดสุดท้ายสำหรับกลุ่ม Millennials สำหรับใครก็ตามที่เกิดระหว่างปี 1981 ถึงปี 1996 (อายุ 23 ถึง 38 ปีในปี 2019) ถือเป็นยุคคน Millennial และใครก็ตามที่เกิดตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นไปจะเป็นส่วนหนึ่งของคนรุ่นใหม่
ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะเรียนคนรุ่นต่อไปว่าอย่างไร Generation Z หรือ iGeneration หรือ Homelanders สำหรับคนใน “หลังยุคมิลเลนเนียล” ที่มีความชัดเจนในความสนใจด้านวัฒนธรรมสมัยนิยม และการสื่อสารมวลชนผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งหาใช้ข้อมูลจาก Google Trends จะเห็นว่า “Generation Z” เป็นคำที่ใช้บ่อยมากที่สุดและแซงหน้าชื่ออื่นๆ ในการค้นหาข้อมูลของผู้คนอย่างมาก
ความแตกต่างของประสบการณ์ของคน 2 รุ่น ประการสำคัญได้แก่
ประเด็นแรก คนรุ่น Millennials ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 5 ถึง 20 ปีเมื่อการโจมตีของผู้ก่อการร้าย 9/11 เขย่าประเทศ และหลายคนมีอายุมากพอที่จะเข้าใจความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของช่วงเวลานั้น ในขณะที่คนกลุ่ม Gen Z ส่วนใหญ่มีความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
ประเด็นที่สอง คนรุ่น Millennials เติบโตขึ้นมาภายใต้เงาของสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน ซึ่งทำให้มุมมองที่กว้างขึ้นของฝ่ายต่างๆ ชัดเจนขึ้น และมีส่วนทำให้เกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองที่รุนแรงซึ่งกำหนดสภาพแวดล้อมทางการเมืองในปัจจุบัน
ประเด็นที่สาม คนรุ่น Millennials ส่วนใหญ่เข้าสู่วัยทำงานและต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ตามที่ ทางเลือกในชีวิตของคนรุ่น Millennials คือรายได้ในอนาคต และการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ด้วยภาวะถดถอยนี้
ประเด็นที่สี่ ด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของวิธีการที่ผู้คนสื่อสารและโต้ตอบกันถือเป็นการพิจารณาอีกมุมหนึ่ง โดยคนรุ่น Baby Boomers เติบโตขึ้นเมื่อโทรทัศน์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้วิถีชีวิตและการเชื่อมต่อกับโลกเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะพื้นฐาน ขณะที่คนยุค Generation X เติบโตขึ้นในขณะที่การปฏิวัติทางคอมพิวเตอร์กำลังเกิดขึ้น และคนรุ่น Millennials เติบโตขึ้นในช่วงที่อินเทอร์เน็ตระเบิดและแพร่กระจายทั่วโลก
ส่วนความก้าวหน้านี้ของ Generation Z เป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใครในรุ่นก่อน คือสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น iPhone เปิดตัวในปี 2550 เมื่อ Gen Zers ที่มีอายุมากที่สุดอายุ 10 ขวบ วิถีชีวิตหลักเป็นการเชื่อมต่อกับเว็บคือผ่านอุปกรณ์พกพา WiFi และบริการเซลลูลาร์ที่มีแบนด์วิดท์สูง โซเชียลมีเดีย การเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง และความบันเทิงและการสื่อสารแบบออนดีมานด์เป็นนวัตกรรมที่คนรุ่นมิลเลนเนียล สำหรับผู้ที่เกิดหลังปี 2539 ปรับให้เข้ากับวัย
การวิจัยล่าสุดของ Pew Research Center ให้ความสนใจกับความหมายของการเติบโตในสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีที่ "อยู่ตลอด" ทุกรุ่นของคน ว่ามีส่วนที่แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในพฤติกรรม ทัศนคติ และวิถีชีวิตทั้งในด้านบวกและด้านที่เกี่ยวข้องของคนแต่ละรุ่นหรือไม่ เพื่อวิเคราะห์ระหว่างคนรุ่น Millennials กับรุ่นที่ตามหลังมา เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หาคำอธิบายที่ชัดเจนและคุณสมบัติที่เป็นเอกเทศ และความต่อเนื่องข้ามรุ่น
หนึ่งในบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจคือการพบว่าคนรุ่น Generation Z ให้ความสำคัญและมองปัญหาทางสังคมและการเมืองที่ประเทศชาติกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นับเป็นจุดที่แตกต่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นก่อนหน้า เนื่องจากเป็นยุคที่เหตุการณ์ระดับชาติและระดับโลกเข้ามาแทรกแซงการดำเนินชีวิต จนอาจจะเป็นการให้เบาะแสที่น่าสนใจว่าในอนาคตคนรุ่น Gen Z จะมีส่วนและบทบาทช่วยกำหนดแนวความคิดทางการเมืองในอนาคตได้หรือไม่ และอย่างไร
อีกประการหนึ่ง คือการพบว่า ทั้งคนรุ่น Gen Z และคนรุ่น Millennials มีความโดดเด่นกว่ารุ่นก่อนมากขึ้นในด้านการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการมีส่วนร่วมกับโซเชียลมีเดียด้วย มีบทบาทสนับสนุนมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่หยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเต็มที่
แม้แต่การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโจ ไบเดน ก็เหมือนว่าเกี่ยวข้องกับนโยบายด้านสภาพอากาศ พลังงาน และสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจจากผู้สนับสนุน จนช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เข้าร่วมข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกครั้ง สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมได้เพิ่มความสำคัญของธีมในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็ว และล่าสุดนายไบเดนได้ระบุเป้าหมายด้านนโยบายหลายประการ รวมถึงการทำให้สหรัฐฯ "เป็นศูนย์" โดย 2050.
ส่วนหนึ่งของปรากฎการณ์นี้ชี้ว่าปัญหาระดับชาติเร่งด่วน มีผู้คนส่วนใหญ่มองว่าคนเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเห็นว่าภาครัฐยังทำกิจกรรมน้อยเกินไปที่จะลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนแนวทางนโยบายต่างๆ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในวงกว้าง รวมถึงการผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ มุ่งสู่แหล่งพลังงานหมุนเวียน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า การเพิ่มภาษีและข้อจำกัดในการปล่อยคาร์บอน
นอกจากนั้น Gen Z ส่วนใหญ่เริ่มแสดงความนิยมในการหันมาใช้แหล่งพลังงานผสมผสานกันเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศ ซึ่งรวมถึงพลังงานหมุนเวียน น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ และยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยสิ้นเชิง รวมทั้งยุติการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแก๊สภายในปี 2578
การศึกษาครั้งนี้ให้ข้อสรุปว่าพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญมากขึ้น ระหว่างรุ่น Gen Z ที่ดูเหมือนจะมีนัยสำคัญเกี่ยวกับความจำเป็นในการดำเนินการด้านสภาพอากาศ และการมีส่วนร่วมกับประเด็นนี้ พร้อมที่จะยืนเคียงข้างฝ่ายและองค์กรที่ดำเนินการตามแนวคิดเหล่านี้
นอกจากนั้น ยังพบว่าในระยะหลัง ๆ พบนักเคลื่อนไหวที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ และมักจะอยู่ในแนวหน้าของการอภิปรายเรื่องสภาพภูมิอากาศ โดยมีเสียงต่างๆ เช่น Greta Thunberg และ Sunrise Movement ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองที่นำโดยเยาวชนที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจเพิ่มขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นการสนทนาที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดในทั่วโลกที่สนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพอากาศ เพราะมีความวิตกกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับสูง โดยเป็นกลุ่ม Gen Z ราว 69% เทียบกับ 59%ของกลุ่ม Millennials ราว 46% สำหรับกลุ่ม Gen X และเพียง 41% ในกลุ่ม Baby Boomer และได้เห็นด้วยว่าภาครัฐและเอกชนยังดำเนินการน้อยเกินไป