บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับมอบประกาศนียบัตร “Certificate of ESG 100 Company” ปี 2563 จากสถาบันไทยพัฒน์ สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนคำนึงถึงผลตอบแทนต่อนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสีย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมมอบรางวัล 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน “CPF CSR Awards 2019” ให้กับหน่วยงานภายในองค์กร ที่ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน
ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า การที่ ซีพีเอฟ ได้รับการจัดอันดับอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีการดำเนินงานที่คำนึงถึงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ด้วยปรัชญา 3 ประโยชน์ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร ชุมชน สิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับประเทศและสากล
ซีพีเอฟ ได้รับการจัดอันดับโดยสถาบันไทยพัฒน์ ให้เป็น 1 ใน 100 หลักทรัพย์จดทะเบียน หรือ ESG 100 ประจำปี 2563 ตอกย้ำการขับเคลื่อนธุรกิจโดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG) เช่น การจัดการด้านพลังงานและทรัพยากรน้ำ ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความปลอดภัยทางอาหาร โภชนาการ และสุขภาพ รวมถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมของโซ่อุปทาน สะท้อนความชัดเจนของนโยบายบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจตามวิถียั่งยืน
“ซีพีเอฟ เป็นบริษัทชั้นนำระดับแนวหน้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร ที่ทำธุรกิจบนจุดแข็งของประเทศ และสามารถนำบริษัทไปสู่เวทีโลก อย่างรับผิดชอบภายใต้ปัจจัย ESG ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ยืนยันการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืน” ดร.พิพัฒน์ กล่าว
ดร. พิพัฒน์ กล่าวต่อไปว่า การจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนด้านการพัฒนาความยั่งยืนของธุรกิจนี้ ช่วยรองรับความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนไม่ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวภายหลังรับมอบประกาศนียบัตร ESG 100 ว่า ในฐานะองค์กรที่เป็นสมาชิกที่ดีของประเทศไทย นับเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ที่ได้ทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อส่วนรวม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้หลักการ ESG ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญา 3 ประโยชน์ คือ ประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท โดยมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนระดับสากล สอดคล้องกับเป้าหมายความการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เพื่อสร้างสมดุลการดำเนินธุรกิจในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม โดยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกธุรกิจของ ซีพีเอฟ มีการจัดกิจกรรมอย่างเหมาะสมทั้งการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนรอบสถานประกอบการอย่างรับผิดชอบ เช่น โครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,388 ไร่ และโครงการ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง เพิ่มพื้นที่ป่า 6,000 ไร่
“ซีพีเอฟ เชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนองค์กรโดยยึดหลักการ ESG เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่นำมาซึ่งความไว้วางใจ ความสามารถในการแข่งขัน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ รวมถึงบริษัทฯ ในระยะยาว ขณะเดียวกันจะสามารถตอบสนองคุณค่าที่ดีให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน” นายประสิทธิ์ กล่าว
วันเดียวกัน นายประสิทธิ์ ได้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ประจำปี 2562” (CPF CSR Awards 2019) ให้กับพนักงงานของสายธุรกิจต่างๆ ของ ซีพีเอฟ ที่นำปรัชญา 3 ประโยชน์ ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลัก อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ ไปสู่การปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ความยั่งยืนและสามารถเป็นต้นแบบให้กับสายธุรกิจอื่นๆ นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างพื้นฐานทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคมด้วย
พิธีมอบรางวัลในวันนี้ มีโครงการที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 39 โครงการ จาก 9 สายธุรกิจ ประกอบด้วย อาหารสัตว์บก สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ เป็ดเนื้อ สัตว์น้ำ อาหารสำเร็จรูป ห้าดาวและร้านอาหาร และธุรกิจครบวงจรภาคเหนือ แบ่งเป็นประเภทยอดเยี่ยม จำนวน 7 โครงการ รางวัลดีเด่น จำนวน 12 โครงการ และรางวัลชมเชย จำนวน 20 โครงการ โดยมีกิจกรรมหลากหลายครอบคลุมด้านอาหารปลอดภัย อนุรักษ์ธรรมชาติ และการสร้างรายได้เสริมให้คนในชุมชน เพื่อสร้างสังคมและสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ด้วยมาตรฐานการผลิตระดับโลก มีการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลตลอดเวลา ตลอดจนร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ ร่วมกับทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่เป้าหมาย SDGs ส่งผลให้บริษัทฯได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices : DJSI) และสมาชิก FTSE 4Good Emerging Indices อย่างต่อเนื่อง