เมื่อวันก่อน (26 ส.ค.2563) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปเปิดงานกิจกรรม “ติดปีกให้ SE วิสาหกิจเพื่อสังคม” ณ ตึกมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช ชั้น 3 ที่ทําการพรรคประชาธิปัตย์
โดยมีบริษัทตัวอย่างวิสาหกิจเพื่อสังคมกว่า 100 ราย เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองต่อสังคมและรัฐ โดยมี มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมทั้งคณะผู้จัดงานนี้
เรียกได้ว่าเป็นอีกก้าวของประเทศไทย เพราะรัฐบาลไทย พรรคการเมืองตระหนักถึงความสำคัญต่อการขับเคลื่อน หลังจากที่มีวิสาหกิจเพื่อสังคมอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กล่าวว่า “กฎหมายส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเกิดขึ้นเมื่อปี 2562 ปีที่แล้ว ผมได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ทำหน้าที่เป็นประธานวิสาหกิจเพื่อสังคม (SE) ของประเทศ ซึ่งจะเป็นหน่วยงานที่กำหนดนโยบายกฎเกณฑ์กติกาทั้งหมดให้เดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง และแข็งแรงต่อไป”
SE ไม่ได้ต่างอะไรจากธุรกิจทั่วไปที่เป็นธุรกิจแสวงหาผลกำไร เพียงแต่ว่าผลกำไรในหลายๆ ด้านของ SE เป็นผลกำไรที่กระทบสังคมในเชิงบวก เพราะฉะนั้นวิสาหกิจเพื่อสังคม จึงเป็นธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญมากต่อการขับเคลื่อนประเทศเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นที่มาของกิจกรรม “ติดปีกให้ SE วิสาหกิจเพื่อสังคม” ในครั้งนี้
งานครั้งนี้สนับสนุนหัวใจของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ผมขอเรียกว่า “ธุรกิจน้ำดี” ทั้งด้านการแลกเปลี่ยนความคิด แนวทางในการทำธุรกิจ SE เพื่อให้เป็นแนวทางสำหรับคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะสร้างประโยชน์ให้สังคมในเชิงปริมาณและคุณภาพมากขึ้น รวมถึงตอบโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้วิสาหกิจเพื่อสังคมยั่งยืนต่อไป
จุรินทร์ กล่าวอีกว่า SE ที่จดทะเบียนแล้วมีตัวเลขประมาณ 130 บริษัท และมีกฎหมายระดับรองจากพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม 10 ฉบับเป็นประกาศ ระเบียบ และยังจะต้องเพิ่มเติมอีก 16 ฉบับ ถัดจากนี้ไปกฎระเบียบบางครั้งก็ช่วยส่งเสริมบางครั้งก็ต้องยอมรับความจริงว่าเป็นตัวสกัดกั้นความก้าวหน้าการเจริญเติบโตของ SE ในฐานะประธานผมจะช่วยดูว่าทำอย่างไรให้กฎระเบียบทั้งหลายที่ออกตามพระราชบัญญัติมาไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการพัฒนาของ SE ให้เดินไปให้ได้
กระทรวงพาณิชย์เอง พยายามเข้ามามีบทบาทในการช่วยแก้ปัญหาร่วมกับภาคเอกชน สำนักงานวิสาหกิจเพื่อสังคมจะต้องร่วมทำงานโดยจับมือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อใช้ศักยภาพด้านการตลาดที่มีหน่วยงานพาณิชย์จังหวัดอยู่ทุกจังหวัด ทางพาณิชย์จังหวัดก็ต้องสลับบทบาทเป็นเซลล์แมนจังหวัด ทูตพาณิชย์ทั่วโลกต้องเปลี่ยนบทบาทจากคำว่าทูตเป็นเซลล์แมนของประเทศ ทั้งเซลล์แมนจังหวัด และเซลล์แมนประเทศจะต้องช่วยมาทำหน้าที่เป็นฝ่ายการตลาดให้กับ SE ของเราด้วย ขณะเดียวกันแบบการตลาดอีคอมเมิร์ซต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การค้าออนไลน์ต้องปรับรูปแบบการค้าไม่ว่าในประเทศ หรือระหว่างประเทศจากระบบออฟไลน์ต้องปรับไปเป็นการค้าออนไลน์
"เวลานี้กระทรวงพาณิชย์ มีหลักสูตรเข้ามาช่วยเติมเต็มความรู้ให้ แม้หลายคนมีประสบการณ์ด้านการค้าออนไลน์อยู่แล้ว ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงการอบรมออนไลน์เพื่อการส่งออกและให้ปฏิบัติได้จริง และเพื่อให้ทุกคนได้มองเห็นภาพมากขึ้น ต่อไป SE จะมีระบบฐานข้อมูลที่มีความชัดเจน ทันสมัย รอบด้าน และต้องนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจน้ำดีเติบโตอย่างแข็งแรงและยั่งยืน" จุรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย