ระดมสมองทุกภาคส่วน สภาวิศวกรแนะรัฐยกระดับฝุ่น PM 2.5 เป็นภัยพิบัติระดับชาติ พร้อมชี้ทางออก 3 ด้านหลัก “ด้านกฎหมาย” การเก็บภาษีรถยนต์ปล่อยควันดำ พร้อมปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รุ่นเก่า เป็น EURO 5-6 และจำกัดปริมาณรถบรรทุกในพื้นที่กรุงเทพฯ “ด้านงานวิจัย” รัฐควรลงทุนกับการพัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหาฝุ่น เพื่อลดการนำเข้าเทคโนโลยีที่มีราคาสูง และ “ด้านการวางระบบผังเมืองใหม่” เน้นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คนเมือง ชงเอกชนร่วมแสดงผลข้อมูลปริมาณฝุ่น ผ่านจอโฆษณา LED แบบเรียลไทม์
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) นายกสมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และประธานกรรมการบริหารสมาพันธ์สภาวิชาชีพแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 นับเป็นภัยพิบัติระดับชาติ ที่ภาครัฐ เอกชน ประชาชน ต้องตระหนักถึงความสำคัญ และร่วมดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง โดย ภาครัฐ จะต้องยกระดับปัญหาฝุ่นเป็นภัยพิบัติของประเทศ ต้องเอาจริงในการสร้างมาตรการแก้ไขปัญหา 3 ด้าน ทั้งด้านกฎหมาย โดยการเก็บภาษีรถยนต์ปล่อยควันดำ พร้อมปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์รุ่นเก่าจาก EURO 4 เป็น EURO 5-6 รวมถึงจำกัดปริมาณรถบรรทุกในพื้นที่กรุงเทพฯ ด้านงานวิจัย ที่รัฐควรลงทุนกับการพัฒนานวัตกรรมแก้ปัญหาฝุ่น เช่น ป้ายรถเมล์อัจฉริยะจาก สจล. เครื่องวัดฝุ่นขนาดเล็ก จาก สวทช. ฯลฯ เพื่อลดการนำเข้าเทคโนโลยีที่มีราคาสูง และด้านการวางระบบผังเมืองใหม่ ที่เน้นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากปัจจุบัน 2-3 ตร.ม.ต่อคน เพิ่มเป็นอย่างน้อย 9-10 ตร.ม.ต่อคน
ขณะที่ ภาคเอกชน ควรให้ความร่วมมือในการแสดงผลข้อมูลปริมาณฝุ่น ผ่านจอโฆษณา LED แบบเรียลไทม์ และ ภาคประชาชน ควรตระหนักถึงผลกระทบถึงฝุ่น PM 2.5 ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว และสามารถส่งผลกระทบร้ายแรงถึงชีวิตของทั้งตนเอง รวมถึงบุคคลในครอบครัว ดังนั้น จึงควรหมั่นดูแลสุขภาพของตนอยู่เสมอ พร้อมทั้งเลือกสรรนวัตกรรมป้องกันฝุ่น หรือติดตามการรายงานผลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากทั้งภาครัฐและเอกชน
สภาวิศวกร ได้จัดงานเสวนา “รวมพลังปัญญา แก้ปัญหา ฝุ่นพิษ” ขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล ถนนศรีอยุธยา ราชเทวี กรุงเทพฯ
ดร.ประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการสภาวิศวกร และอดีตกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กล่าวว่า ฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นภัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนเมือง และเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งพบว่า 91% มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร อาศัยอยู่ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลาง-น้อย ขณะที่ปี 2559 ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากปัญหาดังกล่าว ถึง 4.2 ล้านคน ดังนั้น ประเทศไทย จึงควรยกระดับมาตรฐานฝุ่นที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (วัดเฉลี่ย 24 ชม.) แต่ในปัจจุบันประเทศไทย พบมีค่าฝุ่นสูงถึง 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยเสนอแนวทางการแก้ไขมหันตภัยฝุ่น PM 2.5 ประเทศไทยต้องแก้ไขกฎหมายต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดถึงต้นตอ
ดังนั้น ประเทศไทยควรยกระดับมาตรฐานรถยูโร 4 สู่มาตรฐาน EURO 5-6 ควบคู่กับการปรับค่ามาตรฐานน้ำมันเพื่อสามารถใช้งานกับเครื่องยนต์ EURO 5-6 โดยขั้นแรกควรส่งเสริมการใช้รถยนต์ EURO 5 นำร่องก่อน ซึ่งพบว่าภายในปี 2564 มีรถยนต์ขนาดเล็กเป็นเครื่องยนต์ EURO 5 มาใช้ในประเทศไทย ทั้งนี้ การดำเนินการตามมาตรฐานดังกล่าว จะช่วยลดปริมาณรถยนต์รุ่นเก่า ทั้งจากรถขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ รถบรรทุก และรถยนต์ส่วนบุคคล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๐ สวทช.พัฒนาเครื่องกรองฝุ่นฯ
ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (NSD) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ด้วยข้อจำกัดของไทยด้านการผลิตหน้ากากอนามัยที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทาง สวทช. จึงได้พัฒนา “เครื่องกรองฝุ่น ด้วยเทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต” เพื่อลดปริมาณการเกิดฝุ่นพิษ โดยที่ทุกชิ้นส่วนสามารถผลิตได้ภายในไทย และสามารถนำไปติดตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อทำให้เกิดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สยามดิสคัฟเวอรี่ และตึกแมกโนเลีย นอกจากนี้ ในต่างประเทศยังได้ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น ประเทศจีน ที่ได้สร้างหอฟอกอากาศสูง 80 เมตร โดยใช้แผ่นกรองและใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ทั้งหมด ผ่านการทำงานพัดลมร้อนเป่าฝุ่น PM 2.5 เมื่อเกิดหอฟอกช่วยทำให้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดขึ้น สำหรับประเทศไทยควรนำโมเดลดังกล่าวมาปรับใช้เพื่อพัฒนาทั้งอสังหาฯ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
โดยที่ผ่านมา สวทช. ได้ร่วมกับ บริษัท ยูนิ-ชาร์ม (ประเทศไทย) พัฒนาหน้ากากอนามัย เป็นหน้ากากอนามัยกรองฝุ่น PM2.5 และ เครื่องวัดฝุ่นแบบกระเจิงแสงขนาดจิ๋ว (My Air) ที่พกพาสะดวก มีความแม่นยำสูง และประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ยังเตรียมดำเนินการวิจัยและพัฒนา “ลูกบอลดับเพลิง” ขนาด 5-10 กิโลกรัม ที่ใช้ติดตั้งกับโดรนเพื่อทำหน้าที่ดับเพลิงไฟป่า
๐ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เสนอ 2 แนวทาง
ด้าน ดร.สุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา ผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษทางอากาศ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้เสนอ 2 แนวทางสำคัญเพื่อลดมลภาวะฝุ่น คือ 1. รถยนต์ปลอดควันดำ โดยปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซลเป็นเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ หรือพลังงานไฟฟ้า และ 2. เกษตรปลอดการเผา โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน ฯลฯ ประสานงานร่วมกับภาคการศึกษาเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาร่วมกัน พร้อมส่งต่อองค์ความรู้พร้อมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหลือทิ้งจากภาคการเกษตร เพื่อลดการเผาที่ก่อให้เกิดฝุ่น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักของการเกิดฝุ่นนั้น ยังคงเกิดจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลกว่า 70-80% โดยเฉพาะรถบรรทุกกว่า 140,000 คัน รถโดยสารสาธารณะของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ขสมก.) กว่า 10,000 คัน และรถโดยสารไม่ประจำทางอีก 30,000 คัน รวมถึงการเผาในที่โล่งแจ้ง จากแหล่งกำเนิดในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งภาคเหนือ และกลาง
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจาก PM 2.5 ที่สร้างผลกระทบด้านสุขภาพปอดคนไทยแล้ว ยังมีภัยเงียบอย่าง “ก๊าซโอโซน” (O3) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่พบว่ามีค่าเกินมาตรฐานกำหนดและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งกระทบหนักกับเนื้อเยี่ออ่อน เมื่อสูดดมเข้าไปในปริมาณมาก เช่น เนื้อเยื่อในตาและหลอดลม ขณะที่ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้มาจากแหล่งอากาศจากกรุงเทพอย่างเดียว
๐ “เพจฝ่าฝุ่น” ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง
ดร. เจน ชาญณรงค์ หนึ่งในผู้ที่พยายามช่วยแก้ปัญหา PM 2.5 ในนามของชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ที่รวบรวมผู้มีความรู้สาขาต่างๆ มาให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาฝุ่นผ่านเพจฝ่าฝุ่น (www.facebook.com/farfoon.th) กล่าวถึงปัญหาหลักของการเผาไฟในภาคการเกษตรนั้นเกิดจาก “ปัญหาปากท้อง” ของประชาชน โดยพื้นที่ที่มีการเผาป่ามากที่สุดพบในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น จังหวัดตาก ลำพูน ลำปาง โดยที่ผ่านมา ตนและทีมได้ดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ผ่าน การน้อมนำศาสตร์พระราชาอย่าง “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” มาปรับใช้ เช่น การปรับปรุงระบบชลประทาน เพื่อให้ประชาชนมีน้ำใช้สำหรับการเกษตร อุปโภค-บริโภค ส่งเสริมการปลูกพืชแทน เพื่อลดการบุกรุกพื้นที่ป่าพร้อมสร้างความยั่งยืน ถ่ายทอดความรู้แก่เยาวชนในโรงเรียน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบจากการเผาป่า ฯลฯ
๐ สจล.พัฒนา “ป้ายรถเมล์อัจฉริยะ”
ด้าน รศ.ดร.ประพัทธ์พงษ์ อุปลา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ (SCiRA) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า สจล. ได้พัฒนา “ป้ายรถเมล์อัจฉริยะ” นวัตกรรมตรวจวัดและเตือนภัยฝุ่นละอองขนาดเล็กแบบเรียลไทม์ ณ ป้ายรถเมล์คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ที่มาพร้อมความสามารถในการตรวจจับปริมาณฝุ่น สั่งการพัดลมโคจรติดเพดานช่วยระบายฝุ่น พร้อมแสดงผลปริมาณฝุ่นและเฉดสีผ่านจอมอนิเตอร์ โดยล่าสุด สจล. ยังได้ร่วมมือกับ กรุงเทพมหานคร ดำเนินติดตั้งนวัตกรรมดังกล่าว ในพื้นที่ 9 จุดเสี่ยงที่พบปริมาณฝุ่นสะสมหนาแน่น ได้แก่ บางซื่อ บางเขน บางกะปิ มีนบุรี ดินแดง พระโขนง ภาษีเจริญ ป้อมปราบศัตรูพ่าย และบางคอแหลม เพื่อเป็นการบรรเทาฝุ่นและสร้างการเข้าถึงข้อมูลฝุ่นแบบเรียลไทม์ในภาคประชาชน
๐ จุฬาฯ ชี้มหาวิทยาลัยต้องส่งเสริมสังคม
ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาครัฐดำเนินมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม จากการเก็บข้อมูลมา 2 เดือน(ธันวาคม 2562 - มกราคม 2563) มีค่าฝุ่นสูงสุดในเขตลาดกระบัง บางซื่อ บางกอกน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่น ปัญหาของประเทศไทย ต้องมีมาตรฐานการวางผังเมืองและต้องลงลึกที่ระดับเขต และต้องทำให้คนรู้สึกว่าเป็นปัญหา เพื่อนำมาสู่ระดับนโยบายของการอยู่ร่วมกับชุมชน ข้อเสนอภาคประชาสังคมต้องติดตามข้อมูลข่าวสาร ทำงานเชิงสร้างสรรค์ และมหาวิทยาลัยต้องส่งเสริมสังคม
๐ ผู้เชี่ยวชาญสรุปแนวทาง
ควบคุมฝุ่นจากแหล่งกำเนิดไอเสียรถยนต์
รศ. วงศ์พันธ์ ลิมปเสนีย์ วิทยาลัยพัฒนามหานคร มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ผู้เชี่ยวชาญควบคุมฝุ่นจากแหล่งกำเนิดไอเสียรถยนต์ กล่าวว่า ปัจจุบันการแก้ไขฝุ่น PM2.5 ยังเป็นการควบคุมที่ปลายทาง แต่การแก้ไขที่ถูกต้องนั้น จะต้องแก้ที่แหล่งกำเนิดฝุ่น รถยนต์ดีเซลเป็น 1 ใน 3 ของการก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ในปี 2547 ควบคุมปริมาณกัมมะถันกระทั่งลดลง 20% จาก 2537-2547 มาตรฐานรถยนต์ที่เทียบกับ EURO 1 เทียบเท่ากับมาตรฐานต่างประเทศ แต่หลังจากนั้น ยูโร 4 เหลือ 1ใน 5 เท่า แต่ถ้าปัจจุบันมีรถยนต์ที่ใช้ EURO 1 จำนวนมากอยู่ ถ้าปรับปรุงมาตรฐานและรถยนต์ต้องใช้งบประมาณสูงเกือบหมื่นล้านบาท และทุกคนพร้อมจ่ายราคาน้ำมันที่สูงขึ้น สรุปแนวทางการปรับปรุงรถยนต์ให้เป็น ยูโร 5 และ 6 ในปี 2566-2567 ลดลง10 เท่า หรือลดฝุ่น PM 1ใน 3 และปรับปรุงรถยนต์ให้เป็นยูโร 4 และส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ปราศจากสารที่ก่อให้เกิดฝุ่น
๐ แพทย์ย้ำ PM 2.5 มีพิษร้ายเท่ากับสูบควันบุหรี่
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาระบบทางเดินหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า กรณีที่ฝุ่นขนาดเล็กกว่า PM 2.5 สามารถเล็ดรอดเข้าไปสู่ในกระแสเลือดนั้น จะมีพิษร้ายเท่ากับสูบควันบุหรี่ ซึ่งฝุ่น PM2.5 สามารถทำปฏิกิริยากับร่ายกายได้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องก๊าซโอโซนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและสามารถกัดเนื้อเยื้ออ่อนอย่างหลอดลม โดยเมื่อปีที่ผ่านมา ประชาชนเริ่มตื่นตัวเกี่ยวกับการเผา การจุดประทัด ซึ่งภาครัฐควรส่งเสริมหรือรณรงค์ในภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง การกำหนดคุณภาพมาตรฐานของประเทศไทย ใน 500 เมืองใหญ่ทั่วโลก ประเทศไทย เพิ่งเริ่มติดมาที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบากส์เมตร มีผลต่อกลุ่มเสี่ยงต่อเด็กเล็ก คนชรา เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานฝุ่นของสหรัฐอเมริกา