ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้าบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุกทุกมิติ ครอบคลุมสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Integration) พร้อมส่งเสริมการสร้างผลกระทบเชิงบวกจากโอกาสทางธุรกิจ (Positive Impact Financing) ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจที่คำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย หรือ เคแบงก์ (K Bank) กล่าวว่า ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้ผู้คนเข้าถึงบริการได้สะดวกและง่ายขึ้นทำให้ธุรกิจขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ความเสี่ยงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่กับธุรกิจและไม่เคยหยุดนิ่งเช่นกัน (Risks never sleep) สร้างความกังวลให้แก่ลูกค้าธนาคาร 3 เรื่องหลัก คือ กังวลเรื่องความปลอดภัย (Secure) กังวลเรื่องความถูกต้อง (Correct) กังวลเรื่องความน่าเชื่อถือ (Trustworthy)
ในการขับเคลื่อนธนาคารไปสู่เป้าหมายการเพิ่มอำนาจให้ทุกชีวิตและธุรกิจของลูกค้า สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ การจัดการความเสี่ยง สร้างความแข็งแกร่งของธนาคาร ลดความกังวลให้แก่ลูกค้า เพื่อที่จะพร้อมก้าวไปข้างหน้ากับธนาคารอย่างมั่นใจ ธนาคารกสิกรไทยเดินหน้า บริหารจัดการความเสี่ยงเชิงรุก (Proactive Risk Management) ควบคู่กับการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนไป จึงครอบคลุมทุกมิติการจัดการความเสี่ยงของธุรกิจ โดยธนาคารมีมุมมองในการจัดกลุ่มความเสี่ยง และแนวทางการบริหารจัดการที่เป็นมาตรฐาน แบ่งเป็น 3 แกนหลัก ได้แก่ 1. การจัดการความเสี่ยงพื้นฐานจากการให้บริการทางการเงิน (Banking Services) 2. การจัดการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากบริการที่เป็นดิจิทัล (Digital Transformation) และ3. การจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Integration)
ในการจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Integration) ธนาคารกสิกรไทยตั้งเป้าหมายการเป็นพลเมืองที่ดีของโลก เพื่อสร้างผลลัพธ์และคุณค่าที่ยั่งยืนแก่สังคมและประเทศชาติ ด้วยการดำเนินงานบนรากฐานของการเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดีและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่น การมีนโยบายและกระบวนการการให้สินเชื่อที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) และมีการกำหนดประเภทเครดิตที่ธนาคารไม่ให้การสนับสนุนสินเชื่อ (Exclusion List) เพื่อให้มั่นใจว่าธนาคารจะไม่สนับสนุนกิจการที่สร้างผลกระทบเชิงลบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และต่อชื่อเสียงของธนาคาร
ขณะเดียวกันธนาคารซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของต้นทางในการส่งเสริมสังคมให้ตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว ยังได้ส่งเสริมการสร้างผลกระทบเชิงบวกจากโอกาสทางธุรกิจ (Positive Impact Financing) โดยธนาคารให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจที่คำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ดังนี้
สินเชื่อพลังงานทดแทน ได้แก่ สินเชื่อพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล พลังงานขยะ เป็นต้น โดยในปี 2562 ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อกว่า 6,300 ล้านบาท กำลังการผลิตกว่า 800 เมกะวัตต์ ตั้งเป้าหมายปี 2563 จะมีส่วนแบ่งการตลาดด้านกำลังการผลิต (เมกะวัตต์) เป็น 15% ของตลาดในประเทศ ตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกของประเทศไทย
สินเชื่อเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สินเชื่อเพื่อติดตั้ง Solar Rooftop สินเชื่อเพื่อปรับปรุงอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สินเชื่อเพื่อปรับปรุงกระบวนการเพื่อลดการใช้พลังงานในสถานประกอบการ เป็นต้น ในปี 2562 ธนาคารมีการให้สินเชื่อกว่า 2,000 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2563 จะมียอดสินเชื่อที่ 2,400 ล้านบาท
สินเชื่อเพื่อการสนับสนุนด้านสังคม ได้แก่ โครงการสนับสนุนให้เกิดการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็นในสังคมเป็นการสนับสนุนเงินกู้ให้แก่ผู้เกษียณอายุ โครงการสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานในสังคม (Employment Generation) เป็นการสนับสนุนกลุ่มเอสเอ็มอีและกิจการร้านค้าย่อยรายเล็กในชุมชน โครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นต้น ในปี 2562 ธนาคารให้สินเชื่อกลุ่มนี้รวมกว่า 7,600 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2563 จะมียอดสินเชื่อที่ 7,730 ล้านบาท
ธนาคารมียอดการออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน มาตั้งแต่ปี 2561 จำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และตั้งเป้าหมายว่าธนาคารจะออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนเพิ่มเติมอีกในอนาคต นอกจากนี้ ธนาคารได้มีการลงทุนในหุ้นกู้สีเขียว (Green Bond) ในปี 2562 มูลค่า 1,841 ล้านบาท และตั้งเป้าจะลงทุนในปี 2563 เพิ่มเติมอีก 300-500 ล้านบาท
“จุดแข็งของกสิกรไทยในเรื่องการบริหารความเสี่ยงก็คือ มุ่งเสริมสร้างการบริหารความเสี่ยงให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร (Risk Culture) สร้างวินัยที่ดีในการบริหารความเสี่ยง ทำอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในทุก ๆ การตัดสินใจและการดำเนินงาน จนฝังรากลึกเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมกสิกรไทย เพราะความเสี่ยงไม่เคยหลับ เราจึงตื่นอยู่เสมอเพื่อจัดการความเสี่ยง”
นายปรีดี ย้ำว่า ทั้งหมดนี้ เพื่อให้ลูกค้ามีความสบายใจเมื่ออยู่กับเรา หมดความกังวลใจ ทั้งเรื่องความปลอดภัยในทรัพย์สินและข้อมูล ความถูกต้องของการทำธุรกรรมและไว้ใจได้ เพราะธนาคารมีการบริหารความเสี่ยงที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้ ทำให้ธนาคารดำรงความแข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ พร้อมเพิ่มอำนาจให้ลูกค้าในการใช้ชีวิตและทำธุรกิจได้อย่างไร้ความกังวล