xs
xsm
sm
md
lg

“น้ำทิพย์” กระตุ้นอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ปีที่ 9 คืบหน้า “ระบบประปาแสงอาทิตย์” เพื่อชุมชนที่ขอนแก่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




ระบบประปาแสงอาทิตย์ในโครงการรักน้ำในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น
กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ประเทศไทย เดินหน้ากิจกรรมเพื่อสังคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ใช้แบรนด์น้ำดื่ม “น้ำทิพย์” รณรงค์การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำบนฉลากใหม่ หวังให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันรักน้ำ รวมถึงจัดกิจกรรม "รักน้ำกับน้ำทิพย์" โดยการสร้างระบบประปาแสงอาทิตย์ให้กับชุมชนจังหวัดขอนแก่น
ลักษณี ฐิติโชติรัตนา ผู้ใหญ่บ้าน บ้านโนนข่าหมู่ที่ 6
ประไพภักตร์ ไวเกิล ผู้จัดการการตลาด บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "น้ำทิพย์" เป็นแบรนด์น้ำดื่มเพื่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด "น้ำทิพย์ คิดมาเพื่อโลก" เริ่มจากนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พีอีทีที่สามารถลดการใช้พลาสติกลงถึง 35% และในช่วงที่ผ่านมาเรากระตุ้นให้ผู้บริโภคร่วมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ
น้ำทิพย์ มุ่งจุดประกายเพื่อให้ผู้บริโภคได้ร่วมการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ซึ่งน้ำเป็นส่วนประกอบหลักของผลิตภัณฑ์และเป็นทรัพยากรที่ทุกคนควรร่วมกันรักษาไว้ จึงผสานความร่วมมือกับโครงการด้านการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยทุกขวดน้ำทิพย์ที่ผู้บริโภคดื่ม โคคา-โคลาจะคืนน้ำในปริมาณเท่ากันสู่ชุมชนและธรรมชาติสอดคล้องกับเป้าหมายในระดับโลกด้านความยั่งยืนในการคืนน้ำสู่ชุมชน และธรรมชาติอย่างปลอดภัยในปริมาณเทียบเท่ากับที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มภายในปี 2563 ซึ่งเรียกว่า "การคืนน้ำกลับสู่ธรรมชาติ"
นอกจากนี้ ผู้บริโภคสามารถร่วมกิจกรรมอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยร่วมเป็นอาสาสมัครพลังบวกกับโคคา-โคลา รวมถึงการประหยัดและรักษาทรัพยากรน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ภายใต้ความร่วมมือของมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรน้ำจากปัญหาภัยแล้งและน้ำไม่สะอาดในพื้นที่นั้น ซึ่งเริ่มแรกเมื่อปี 2550
ประไพภักตร์ กล่าวว่า “โคคา-โคลา เข้าไปสนับสนุนในระยะแรก ด้วยการก่อสร้างแท็งค์เก็บกักน้ำซึ่งสามารถเก็บกักน้ำได้ต่อหนึ่งชุมชน จากนั้นได้พัฒนาเป็นการวางระบบประปาพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อต่อยอด และเอื้อประโยชน์ให้กับหมู่บ้านใกล้เคียงเช่นกัน”
ในส่วนของพื้นที่ชุมชนบ้านท่าสวรรค์ ตำบลท่าศาลา อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือด้านระบบประปา โดยที่ผ่านมา ภายในชุมชนมีระบบประปาพลังงานไฟฟ้าอยู่แล้ว แต่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และไม่สะอาดเท่าที่ควร ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าที่ใช้เพื่อระบบประปาเดิมอยู่ในอัตราที่สูง ส่งผลให้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ดังนั้น การเข้ามาดำเนินงานโครงการระบบประปาแสงอาทิตย์ในโครงการรักน้ำ ปีที่ 8 มีการวางโครงสร้างเป็น 2 ส่วน คือ ระบบประปาเพื่อการอุปโภค บริโภค และระบบประปาเพื่อการเกษตร ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่ของชุมชนให้สามารถเก็บน้ำที่สะอาดและลดต้นทุนค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ บ้านโนนข่าหมู่ 6 ตำบลวังแสง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ในช่วงที่ผ่านมานั้น เกิดปัญหาน้ำแล้งและไฟป่าเกิดขึ้น เหตุจากการขาดแคลนน้ำและภัยแล้ง ทำให้ชาวบ้านต้องออกไปตั้งถิ่นฐานและทำมาหากินในพื้นที่อื่น ชาวบ้านในชุมชนกว่า 60 คน นำโดย ลักษณี ฐิติโชติรัตนา ผู้ใหญ่บ้านโนนข่าหมู่ 6 ที่ต้องการพัฒนาระบบประปาในชุมชนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยให้ที่ดินรกร้าง เป็นพื้นที่ที่ถูกพัฒนาเป็นระบบประปาแสงอาทิตย์ และแปลงปลูกผักเขียวที่สามารถนำมาบริโภคภายในชุมชน ทั้งยังส่งจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกเฉลี่ยเดือนละ 2,500 บาท รวมถึงสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าเหลือเดือนละประมาณ 17,000-18,000 บาท จากแต่เดิม 20,000-21,000 บาท
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 7 ปี ของ “โครงการก่อสร้างระบบประปาแสงอาทิตย์” โคคา-โคลาฯ และสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน โดยศูนย์ฝึกมีชัยบ้านไผ่ได้ก่อสร้างแท็งค์เก็บกักน้ำกว่า 100 แท็งค์ เก็บกักน้ำสะอาดได้รวมกว่า 800 ล้านลิตร (100 ล้านลิตรต่อปี) ให้กับชุมชน 14 แห่งในจังหวัดขอนแก่น มีชาวบ้านที่ได้รับประโยชน์ทางตรงกว่า 57,000 คน และนอกจากชุมชนบ้านท่าสวรรค์ จังหวัดขอนแก่นแล้ว ในปี 2558 นี้ ทางโครงการฯ ได้เตรียมสร้างระบบประปาแสงอาทิตย์ให้กับชุมชนบ้านหนองหัวช้าง และชุมชนบ้านดอนหญ้านาง ในจังหวัดขอนแก่น เช่นกัน
นอกจากนี้ ธนาคารโลก (World Bank) ได้เข้ามาดูระบบประปาแสงอาทิตย์ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อศึกษาข้อมูลไปใช้พัฒนาระบบประปาในต่างประเทศ เพราะมีระบบที่มีการก่อสร้าง ใช้งานไม่ยุ่งยาก มีประสิทธิภาพ และมีต้นทุนในสร้างที่ไม่สูง

โครงการ “รักน้ำ” โคคา-โคลา ประสานหลายภาคส่วนร่วม
โครงการ “รักน้ำ” เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2550 ดำเนินการโดยมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย โดยได้ความร่วมมือจากหน่วยงานหลายภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานราชการ องค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร และชุมชนต่างๆ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะกระตุ้นจิตสำนึกและสร้างองค์ความรู้ในสังคม เพื่อทำให้ระบบการจัดการทรัพยากรน้ำมีความยั่งยืนทั่วประเทศ นอกจากนี้ โครงการจะเน้นไปยังพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลำปาง นครสวรรค์ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สงขลา ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และปทุมธานี โดยพื้นที่เหล่านี้ล้วนแต่เป็นบริเวณที่โคคา-โคลา ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มเป็นส่วนใหญ่ และที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการคืนน้ำสู่ธรรมชาติมากกว่าปริมาณที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มไปแล้ว แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้น คือ โครงการดังกล่าวได้สร้างประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับประชาชนมากถึง 1 ล้านคน
กำลังโหลดความคิดเห็น