Astv ผู้จัดการสุดสัปดาห์ฉบับที่ผ่านมา ได้เขียนถึงเรื่องราว ที่กำลังเป็นคดีความของ “หนูอิมอิม ก้าวมหัศาจรรย์” ที่ออกโรงมาแถลงข่าวทั้งน้ำตา ว่าโดน (อดีต) แฟนหนุ่มหักหลังจนยับเยิน ถึงขนาดจะฮุบรายการทีวี ที่เจ้าตัวบุกเบิก และลงมือทำมาตั้งแต่ต้น โดยได้ทิ้งท้ายว่า
..... หลังจากนี้ก็คงจะต้องมาจับตาดูความเคลื่อนไหวของนักแสดงหนุ่ม อ. กับต้นสังกัด ว่าจะออกมาเล่าแจ้งแถลงไข หรือตอบโต้ข้อกล่าวหานี้อย่างไร ? …..
ความเคลื่อนไหวล่าสุด ก็คือหลังจาก “ตกเป็นข่าว” นักแสดงหนุ่ม อ. ที่ตอนนี้เป็นที่รู้กันแน่ชัดแล้วว่าหมายถึง "แอ็ค- ณัฏฐวุฒิ อิศรางกูร ณ อยุธยา " (อดีต) นักแสดงหนุ่มในสังกัดโพลีพลัส ก็ได้มีการโพสต์ข้อความในอินสตราแกรมส่วนตัว ระบุว่า ....
"ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจดีดีที่มีให้กันมาโดยตลอดนะครับ และสำหรับบางคนที่ยังสงสัย ผมคิดว่าแอด Line firuo2014 มาคุยกันเลยดีกว่าครับ เพราะต่างคนต่างความคิดครับ”
ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีการเปิดใจให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวบันเทิงไทยรัฐเป็นครั้งแรก หลังจากตกเป็นจำเลยของสังคม ในเชิงว่าใครทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับกรรมของตัวเอง ไม่ช้าก็เร็ว พร้อมเปิดเผยรายละเอียดทุกซอกมุม ว่าตกลงใครทิ้งใคร ใครหักหลังใคร ใครกันแน่ ที่ลวงโลก?
เริ่มจาก
“เค้าเป็นฝ่ายทิ้งผมตั้งแต่ต้นปี เราห่างกันตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. ผมว่าเค้าเปลี่ยนไปหลังได้รายการเที่ยวครื้นเครง ซึ่งคุณพ่อผมเป็นคนติดต่อประสานงานทางช่อง 5 ให้ทุกอย่าง จนได้เวลามาทำรายการ เมื่อก่อนจะไปมาหาสู่ที่บ้านผมค่อนข้างบ่อย อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง หรือมาอยู่ที่บ้านอีกหลัง อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ตอนหลังก็เหลือแค่มานอนค้างอาทิตย์ละครั้ง คุยกันเฉพาะโทรศัพท์ อ้างตลอดว่างานเยอะไม่มีเวลา ขนาดผมตามให้มาชี้แจงและเคลียร์เงินค่าใช้จ่ายต่างๆในการทำรายการร่วมกัน รวมถึงรายได้ สปอนเซอร์ ก็ไม่มา อ้างยุ่งมาก”
ส่วนเรื่องของรายการ ที่ฝ่ายนั้นแถลงข่าวว่าถูกหักหลังนั้น?
“การทำรายการเที่ยวครื้นเครงลงทุนร่วมกันระหว่างผมกับเค้า แต่ใช้ชื่อบริษัทเค้า คือบริษัทหวือหวา เพราะจดทะเบียนบริษัทใหม่ไม่ทัน เรื่องเงินทองไม่เคยโกงแน่ เพราะตอนจ่ายเงินล่วงหน้า 6 เทป จำนวนเงิน 546,342 บาท ซึ่งทางเค้าออกไปก่อน ผมก็รีบเขียนเช็คครึ่งหนึ่งจ่ายทันที เป็นจำนวนเงิน 273,171 บาท และได้ตามเค้ามาเซ็นสัญญาร่วมทุน แต่เค้าก็ไม่มา เราแบ่งหน้าที่กันทำรายการ เค้าถนัดทำเรื่องโปรดักชัน ส่วนผมดูแลการตลาด หาสปอนเซอร์ และทำแผนเสนอรายการ เพราะเค้าไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์ แต่เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของเรา ผมวางเงินสดสำรองไว้ 5 หมื่นบาท และอยากให้เค้าเคลียร์แค่นี้ กับค่าใช้จ่ายและค่าสปอนเซอร์ต่างๆ เค้าไม่ได้แบกภาระอะไร แต่เอาเงินเข้ากระเป๋าด้วยซ้ำ
ตอนเค้าออกมาพูดแบบนี้ หลังจากเลิกกันแล้ว ผมยังคุยกับเค้าว่าตกลงผมยกธุรกิจนี้ให้คุณ แต่คุณก็ช่วยคืนเงินต้นมาแล้วกัน และแยกย้ายกันด้วยดี”
ขณะที่เรื่องที่ถูกโจมตีว่าถูกต้นสังกัดสั่งให้รูดซิปปาก ไม่ให้พูดเรื่องว่ากำลังคบกันอยู่ ก็อธิบายว่า
“ไม่จริงเลย ตอนคบกับเค้า ทางผู้ใหญ่ต้นสังกัดเดิม เตือนว่าคิดดีๆ นะ จะคบคนนี้เหรอ ไม่เคยห้ามเปิดเผยเรื่องแฟน”
จากนั้นทางมารดาของหนุ่มแอ็ค ก็อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ที่ผ่านมาได้ซื้อบ้านให้ลูกชายไว้หลังหนึ่ง เพื่อที่ว่าเวลาจะเจอกับหนูอิมอิม ก็ให้ไปเจอกันที่นั่น เพราะไม่อยากให้ฝ่ายหญิงเข้ามาในบ้านของตน เพราะว่าไม่อยากให้ลูกสาวที่อยู่ในบ้านเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี ส่วนเรื่องธุรกิจที่ทั้งคู่ทำด้วยกัน คุณแม่ก็ยังบอกอีกว่า หนูอิมอิมไม่ยอมให้หนุ่มแอ็คมีชื่อร่วมด้วย ทั้งๆ ที่ลงทุนด้วยกัน พร้อมกับยืนยันว่าทางฝั่งตนมีหลักฐานทุกอย่าง และอาจจะมีการออกมาแถลงข่าวต่อหน้าสื่อด้วย
ทางด้านหนูอิมอิม เมื่อได้อ่านคำสัมภาษณ์ของอดีตคน (เคย) รัก และมารดา ก็ถึงกับบ่อน้ำตาแตกรอบสอง แต่ก็ไม่ขอตอบโต้ หรือชี้แจงอะไรอีก เพราะความจริงก็คือความจริง พร้อมกันนั้นก็ขอประกาศขอยุติเรื่องทั้งหมด และให้ฝ่ายตรงข้ามยุติเรื่องดังกล่าวด้วย โดยเธอพร้อมที่จะยกโทษและอโหสิกรรมให้ทุกอย่าง ทั้งยังจะเตรียมบวชพราหมณ์อุทิศส่วนกุศลให้ด้วย ส่วนในอนาคตหากมีคดีความฟ้องร้องกันเกิดขึ้นคงปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย
เรื่องนี้จับสังเกตได้อย่างหนึ่งว่า ตอนที่หนูอิมอิมแถลงข่าวนั้น ขณะที่สื่อต่างๆ ประโคมข่าวกันอย่างครึกโครม นสพ. หัวเขียว ดูเหมือนจะเป็นสื่อเดียวที่ไม่นำเสนอข่าวนี้เลย เพราะเป็นที่รู้กันว่า นสพ. ฉบับดังกล่าว กับโพลีพลัส ซึ่งเป็นต้นสังกัดของหนุ่มแอ็คนั้น เกี่ยวดองเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่ ซึ่งก็แน่นอนว่า ข่าวคราวที่เสียๆ หายๆ ของเด็กในสังกัดโพลีพลัส แม้ไม่ต้องออกปากห้าม แต่ก็รับรู้กันโดยนัยว่าห้ามพูดถึง ขณะเดียวกัน เมื่อมีการชี้แจงข้อเท็จจริง ก็เป็นเพียงสื่อเดียว ที่กางปีกปกป้อง โดยลงข่าวคำสัมภาษณ์ของหนุ่มแอ็คอย่างละเอียดยิบ
ถ้าตัดประเด็นเรื่องใครเป็นเด็กใครออก จะเห็นว่าคำให้การของทั้งหนูอิมอิม และหนุ่มแอ็คนั้น ขัดกันเห็นๆ เหมือนกับดูหนังกันคนละม้วน คือใครพูด ก็ต้องพูดในสิ่งที่ตัวเอง (คิดว่า) ถูกเสมอ เหมือนกรณีของเพื่อนรักหักเหลี่ยมบัญชี “โย-ยศวดี หัสดีวิจิตร”กับ “บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์” ที่พูดกันคนละที บีบน้ำตากันคนละหน จนป่านนี้เรื่องก็ยังสรุปไม่ได้เสียที ว่าตกลงใครโกงใคร ?
เรื่องนี้ก็เช่นกัน แน่นอนว่าต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายผิด (หรืออาจจะผิดด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย) ซึ่งฝ่ายที่ผิด ก็ต้องมาตีความกันต่อว่า ทั้งรู้ว่าผิด แต่จงใจแถ หรือไม่รู้ตัวว่าผิด !! ซึ่งส่วนใหญ่ไปๆ มาๆ แล้ว ก็ต้องมาจำนนเมื่อมีหลักฐานมัดตัว แต่ตราบใดที่พูดปากเปล่า ใครจะพูดยังไง จะบีบน้ำตาเรียกร้องความเห็นใจอย่างไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครพูดก่อนพูดหลัง แล้วก็ความน่าเชื่อถือของใครจะมีมากกว่ากัน
อย่างกรณีของหนูอิมอิมกับหนุ่มแอ็คนั้น ต้องบอกว่าต่างคนต่างมีต้นทุนที่ต่างกัน
หนูอิมอิมนั้น ต้นทุนในเรื่องความสัมพันธ์กับบรรดาสื่อมวลชนนั้นมีมากกว่าแน่นอน เพราะคร่ำหวอดอยู่ในวงการมานานกว่า และยิ่งเมื่อชิงเป็นฝ่ายออกมาพูดก่อน ความได้เปรียบ และคะแนนสงสารย่อมไหลบ่าเทไปอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งผลงานที่ผ่านมาในฐานะพิธีกรรายการประเภทท่องเที่ยว ก็ผ่านมาอย่างช่ำชอง จึงมีความเป็นไปได้ว่า จะเป็นผู้ต้นคิดรายการ “เที่ยวครื้นเครง” ตามที่ให้สัมภาษณ์นี้จริงๆ อีกทั้งยังเคยผ่านประสบการณ์เรื่องโดนอดีตคนรักก่อนหน้านี้หักหลังในลักษณะคล้ายคลึงกันนี้มาก่อน ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะปักใจเชื่อไปค่อนใจแล้ว
ฝ่ายหนุ่มแอ็ค แม้จะมีต้นทุนทางสังคมมากกว่า เพราะสืบเชื้อสายมาจากสกุลใหญ่ ทั้งเรื่องคอนเนกชัน และสถานะทางการเงินก็มั่นคง แต่ถ้าเทียบต้นทุนในวงการบันเทิง และความน่าเชื่อถือต่อช่องทีวี ก็ต้องถือว่าหนุอิมอิมมีภาษีดีกว่า โดยเฉพาะรายการประเภทท่องเที่ยวด้วยแล้ว ภาพของหนูอิมอิมชัดเจนมากกว่าแน่นอน การที่ช่องทีวีสักช่อง จะพิจารณารายการใดลงผัง นอกจากเรื่องรูปแบบจะสำคัญแล้ว ชื่อเสียงของผู้จัด , พิธีกรในรายการ ก็เป็นเรื่องที่จะต้องนำมาเป็นหัวข้อในการตัดสินใจควบคู่กันไป ต้นสังกัดเอง ก็คงยื่นมือเข้าช่วยเหลือในเรื่องนี้ได้ไม่มากนัก (สิ่งที่ทำได้ก็คือประคับประคอง มิให้เกิดข่าวในเชิงลบไปมากกว่านี้ อย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้นั่นเอง) การที่แอ็คซึ่งยังไม่มีต้นทุนในส่วนนี้ จะลุกขึ้นมาริเริ่มรายการใหม่สักรายการ ก็จำเป็นที่จะต้องอาศัยชั่วโมงบิน และบารมีในวงการที่มากกว่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดต้องใช้เวลา นั่นอาจจะเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เขาอยากที่จะรวบรายการนี้ที่มีอยู่ในโปรแกรมอยู่แล้ว มาเป็นของตัวเอง
งานนี้ก็ต้องรอวันและเวลา ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะหอบหลักฐานอะไรมาโต้แย้ง หรือแก้ต่างอะไรอีก ? แต่เชื่อว่าไม่น่าจะจบง่ายๆ แน่นอน !!
ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 287 2-8 พฤษภาคม 2558