xs
xsm
sm
md
lg

e-waste : ข้อเท็จจริงที่ต้องมีกฎหมายรองรับ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หากว่าประชาชนไม่ทราบถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาระบบการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ อย่างถูกต้องโดยมีกฏหมายรองรับ ประชาชนก็ย่อมไม่ตระหนัก และอาจจะไม่สนใจปฏิบัติอย่างถูกต้อง แม้ว่าจะมีการรณรงค์ให้รับรู้ถึงอันตรายที่เกิดจาก “ขยะอิเล็กทรอนิกส์”

1.ถ้าไม่มีกฎหมาย โรงงานรีไซเคิลไม่เกิด แม้จะมีผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนมากสนใจจะลงทุนในอุตสาหกรรมรีไซเคิลซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แต่ติดปัญหาคือ ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่จะจัดระบบการเก็บรวบรวมและจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ เนื่องจากการเก็บรวบรวมและการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่ทำอย่างถูกต้องนั้นจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และพบว่า ปัญหาสำคัญอยู่ที่ค่าใช้จ่ายในการขนส่งและค่ากำจัดสารอันตรายที่มีอยู่ในซากผลิตภัณฑ์ฯ ซึ่งหากโรงงานรีไซเคิลต้องออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด กำไรที่ได้จากการรีไซเคิลจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
อีกทั้งหากต้องมาแย่งซื้อซากผลิตภัณฑ์ฯ กับธุรกิจค้าของเก่าก็อาจจะไม่สามารถแข่งขันได้ เพราะธุรกิจค้าของเก่าส่วนใหญ่จะจัดการซากฯ อย่างไม่เหมาะสมและไม่รับผิดชอบต่อสารอันตราย จึงมีต้นทุนการดำเนินการที่ต่ำกว่าโรงงานรีไซเคิล ดังนั้น หากไม่มีการจัดระบบการเก็บรวบรวมเพื่อการจัดการอย่างถูกต้อง ก็จะทำให้ผู้ประกอบการรีไซเคิลประสบปัญหาการขาดแคลนซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่จะป้อนเข้าสู่โรงงาน นอกจากนี้ หากปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่ไม่มีมูลค่าในการรีไซเคิลหรือมีต้นทุนการกำจัดสารอันตรายสูง ได้แก่ โทรทัศน์ ตู้เย็น หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย ก็จะไม่มีนักลงทุนรายใดสนใจที่จะรับซากผลิตภัณฑ์ฯ เหล่านี้ไปรีไซเคิลหรือบำบัดอย่างถูกต้อง

2.ประเทศอื่นๆ ที่ต้องการพัฒนาระบบการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ล้วนแต่ออกกฎหมายมาบังคับใช้ หากมองการดำเนินงานของประเทศต่างๆ เราจะพบว่า การออกกฎหมายว่าด้วยการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ มิใช่เรื่องใหม่ ปัจจุบัน มีประเทศกว่า 34 ประเทศ 23 มลรัฐในสหรัฐอเมริกาและ 6 รัฐในแคนาดาได้มีการออกกฎหมายดังกล่าวแล้ว โดยประเทศในแถบยุโรป ได้แก่ สวีเดนถือเป็นประเทศที่บุกเบิกแนวคิด “หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต” (Extended Producer Responsibility: EPR) (เสนอโดย Thomas Lindhqvist, 2000) ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 ซึ่งต่อมา สหภาพยุโรปได้นำแนวคิดดังกล่าวมาเป็นพื้นฐานในการออกระเบียบว่าด้วยการจัดการซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (WEEE Directive) ในปีพ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ส่งอิทธิพลไปยังประเทศอื่นๆ ให้มีการออกกฎหมายในลักษณะเดียวกัน
ในเอเชีย มีประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวันที่ดำเนินการในเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ส่วนจีนก็เพิ่งออกกฎหมาย (Regulations for the Administration of the Recovery and Disposal of Waste Electric and Electronic Products (2009)) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปี 2554 เช่นเดียวกับที่ประเทศอินเดียได้มีการออกกฎหมาย The e-waste (Management and Handling) Rules (2011) ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ยังมีประเทศที่กำลังอยู่ในระหว่างการออกกฎหมาย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย แม้กระทั่ง ลาว หากประเทศไทยยังคงเพิกเฉยกับการออกกฎหมาย ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินโดนีเซียและลาวก็อาจจะแซงหน้าเราไปก็ได้

3.การออกกฎหมายจะเป็นการจัดสรรความรับผิดชอบและแบ่งเบาภาระของท้องถิ่นในการจัดการขยะ เนื่องจากซากผลิตภัณฑ์ฯ ถือเป็นขยะจากครัวเรือนประเภทหนึ่ง ที่ผ่านมา ท้องถิ่นจึงมีบทบาทในการเก็บรวบรวมและการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ เหล่านี้ (โดยเฉพาะซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่ไม่มีมูลค่ารีไซเคิล) ยิ่งซากผลิตภัณฑ์ฯ เพิ่มปริมาณสูงขึ้นก็จะยิ่งสร้างภาระให้กับท้องถิ่นในการจัดหาอุปกรณ์ การเก็บขนและการนำซากผลิตภัณฑ์ฯ ไปบำบัดหรือกำจัดและเนื่องจากงบประมาณของท้องถิ่นมาจากภาษีของประชาชน
ภาระในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่ผ่านมาจึงตกอยู่กับท้องถิ่นและผู้เสียภาษีโดยรวม การออกกฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่มีพื้นฐานของหลักการ EPR จะช่วยกระจายความรับผิดชอบไปยังภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้ผลิต ท้องถิ่น ร้านค้าปลีกและผู้บริโภค โดยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการเก็บรวบรวมและการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ส่วนท้องถิ่นและร้านค้าปลีกจะมีส่วนร่วมในการรวบรวมและเก็บขนซากผลิตภัณฑ์ฯ ในขณะที่ผู้บริโภคมีหน้าที่ในการนำซากผลิตภัณฑ์ฯ มาส่งคืนยังจุดที่กำหนดและร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายร่วมกับผู้ผลิต
ดังนั้น กฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ จะช่วยจัดสรรและกระจายความรับผิดชอบต่อการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมมากขึ้น

4.การออกกฎหมายช่วยให้ภาครัฐมีงบประมาณเพิ่มเติมในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ด้วยงบประมาณที่จำกัดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งมีภารกิจด้านสาธารณะต่างๆ มากมาย งบประมาณในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ จึงไม่มากนัก อีกทั้งหน่วยงานส่วนกลางด้านสิ่งแวดล้อมมักจะได้รับงบประมาณเพียงน้อยนิดซึ่งไม่เพียงพอต่อการพัฒนาระบบการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ อย่างครบวงจรซึ่งรวมถึงการประชาสัมพันธ์สร้างความตระหนักให้กับประชาชน
การออกกฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ เป็นการเปิดช่องทางใหม่ที่จะช่วยให้ภาครัฐมีงบประมาณเพิ่มเติมมาใช้ในการบริหารจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ โดยการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตและผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กองทุนของรัฐหรือทางเลือกที่ให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้ามารับผิดชอบทางการเงินโดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การจ่ายค่ารวบรวม ค่าเก็บขน ค่าบำบัดและค่ากำจัดซากผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ อาจกำหนดให้รับผิดชอบทั้งหมดหรือบางส่วนร่วมกับท้องถิ่น

5.ในแง่สิ่งแวดล้อม กฎหมายจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในกรณีที่กฎหมายการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ที่มีพื้นฐานจากหลักการ EPR กำหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบทั้งทางการเงินและทางกายภาพในการเก็บรวบรวมและจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ ก็จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เช่น การลดการใช้วัสดุ การเพิ่มสัดส่วนวัสดุรีไซเคิล การเพิ่มการใช้ซ้ำ การออกแบบเพื่อให้ง่ายต่อการถอดรื้อ เพื่อลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากกระบวนการจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ เห็นได้จากตัวอย่างของประเทศญี่ปุ่นที่ผู้ผลิตได้รวมตัวกันพัฒนาระบบเก็บรวบรวมและจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ โดยร่วมลงทุนตั้งโรงงานรีไซเคิลขึ้น ทำให้ผู้ผลิตทราบถึงปัญหาอุปสรรคในการถอดแยกและรีไซเคิลและนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ถอดแยกและรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น

กฎหมายดีๆ e-waste ที่ยังค้างคา
ร่างกฎหมายมีการริเริ่มและยกร่างกันมาร่วม 10 ปี (ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547) มีสองฉบับ แต่ไม่มีความคืบหน้า ติดปัญหาผู้บริหารของหน่วยงานและนักการเมืองไม่เห็นถึงความสำคัญ
ปัจจุบัน มีเพียง “ยุทธศาสตร์การจัดการซากผลิตภัณฑ์ฯ เชิงบูรณาการ” ระยะแรก (พ.ศ. 2550 - 2554)
 กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) อยู่ระหว่างเสนอร่างยุทธศาสตร์ฯ ระยะที่สอง (พ.ศ. 2555 - 2559) แต่ยุทธศาสตร์ฯ มิใช่ กฎหมาย บังคับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบ จึงทำตามกติกาไม่ได้
ปัจจุบัน เป็นเพียงการดำเนินการโดยสมัครใจโดยผู้ผลิตบางราย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น