xs
xsm
sm
md
lg

ทำไม OKRs เหมาะกับยุคนี้ ให้ผลต่างกว่า KPIs อย่างไร / ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

การบริหารองค์กร หรือดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ย่อมต้องการให้ได้ผลตามเป้าหมายที่กำหนด จึงต้องมีการติดตามวัดความคืบหน้า ไม่ให้หลงทิศ-ผิดทาง

ดังวลีอมตะของปรมาจารย์ด้านการจัดการสมัยใหม่ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ที่กล่าวว่า..

“ถ้าคุณวัดผลไม่ได้ คุณก็จัดการสิ่งนั้นไม่ได้” และแน่นอน เมื่อไม่มีการวัดผลสิ่งที่เกี่ยวข้องก็ “พัฒนาไม่ได้”

ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราจะใช้เครื่องมืออะไรวัดผล และจะวัดอะไร ที่เหมาะสมหรือไม่ เพื่อประเมินผลการทำงานในบริบทของยุคปัจจุบัน

แม้ว่าการบริหารจัดการขององค์กรต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เรามักคุ้นเคยกับเครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผลการดำเนินงาน ที่เรียกว่า KPIs ซึ่งย่อจาก Key Performance Indicator เป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญ ซึ่งช่วยตอบข้อชี้นำของปรมาจารย์ด้านการบริหารดังกล่าวได้ผลดีจากการวัดผล

แต่แนวคิดและเทคนิควิธีการก็มีการพัฒนาไม่หยุด เกิดการค้นคิดและต่อยอดเป็นเครื่องมือการบริหารจัดการที่ใหม่กว่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเกื้อหนุนให้ผลประกอบการดีขึ้น เช่น การพัฒนาผลิตภาพ (Productivity) การพัฒนาระบบให้สามารถผลิตสินค้าและบริการตอบสนองลูกค้าได้ดีกว่าคู่แข่ง

อย่างเช่นระบบ “การจัดการตามวัตถุประสงค์” : MBO ( Management By Objective) ของปีเตอร์ ดรักเกอร์ ซึ่งนับว่าก้าวหน้าในช่วงปี 1960 แต่ต่อมาพบจุดอ่อน จนเมื่อ แอนดี้ โกรฟ ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทอินเทล ได้พัฒนาจุดแข็ง-แก้จุดอ่อน และต่อยอดให้กลายเป็น “ระบบการบริหารความสำเร็จ ที่มีเป้าหมายชัดและวัดผลได้” เรียกว่า I-MBO เมื่อปี 1971 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ OKRs

เมื่อจอห์น ดัวร์ ผู้เคยร่วมงานที่อินเทล ได้นำแนวคิดและวิธีการแบบ OKRs ไปใช้เต็มรูปแบบพร้อมสนับสนุนการลงทุนในบริษัทกูเกิ้ล เมื่อปี 2008 ก็ช่วยติดปีกความเจริญเติบโตของ”ธุรกิจจัดการข้อมูลที่โลกใช้ประโยชน์ได้” ให้สำเร็จแบบก้าวกระโดด จนเป็นกระแสสนใจของผู้บริหารทั่วโลก

ขอทบทวนว่า OKRs นั้นเป็นตัวย่อมาจาก O คือ Objective และ KR คือ Key Results

Objective คือวัตถุประสงค์ เป้าหมาย หรือสิ่งสำคัญที่ต้องการให้เกิดขึ้น ภายใน 3 เดือน หรือ 1 ปี ใช้ได้กับองค์กร ทีมงาน หรือตัวบุคคล ถ้ากำหนดเป้าชัดเจน ก็จะช่วยให้มุ่งมั่นเป็นวิสัยทัศน์ ที่ต้องทำให้บรรลุเป้าหมาย

ทั้งนี้ ควรตั้งเป้าหมายให้สูงหรือท้าทาย แม้จะยากแต่ก็มีโอกาสทำได้ เป็นความสำเร็จแบบก้าวกระโดด เหนือคู่แข่ง

Key Results คือผลลัพธ์สำคัญ หมายถึงสิ่งที่ “ต้องทำ” หรือ “อยากทำ” เพื่อให้วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เกิดขึ้นจริง มีการระบุจำนวนและกำหนดวันที่จะทำสำเร็จ โดยมีการประชุมติดตามผลความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรืออย่างน้อยทุก 3 เดือน

เพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงในเรื่องนี้มากขึ้น ผมขออ้างอิงจุดเด่นหนังสือขายดีที่ชื่อ “OKRs : เติบโต 10 เท่า ด้วยการตั้งเป้าแล้วทำได้จริง” ซึ่งเป็นผลงานเขียนของทีมผู้เชี่ยวชาญจาก OKR Academy Thailand


หลักคิด OKRs แบบต้นตำรับ

แอนดี้ โกรฟ เมื่อตอนริเริ่มระบบ OKRs เขามีชุดความคิดแบบนี้ครับ…

1.ทำน้อยได้มาก

เลือกทำในสิ่งสำคัญ ชนิดที่ “ไม่ทำไม่ได้” สัก3- 5 ข้อ (แม้ว่าจริง ๆ อาจมีสิ่งที่คิดว่าสำคัญหลายข้อก็ตาม แต่ให้จัดลำดับแล้วเลือกสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำก่อน และเป็นสิ่งที่ทำแล้วจะได้ผลลัพธ์ดีมาก

2.อย่าเผด็จการ

OKRs เป็นระบบสร้างความร่วมมือของคนที่เกี่ยวข้อง ในการจัดลำดับความสำคัญ “สิ่งที่ต้องทำและสามารถวัดผลได้” ผู้เกี่ยวข้องควรมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและร่วมกันกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วทำให้สำเร็จ

3.กล้าล้มเหลว

กระตุ้นให้ขยับเป้าหมายให้สูงขึ้น เพื่อสร้างสถิติใหม่ หรือทำสิ่งที่ท้าทายและเกิดแรงฮึกเหิมอยากทำ แม้อาจมีข้อผิดพลาดก็ได้เรียนรู้ เพื่อแก้ไข

4.ตั้งเป้าหมายจากระดับล่างขึ้นบน

แม้ระดับบริหารจะสื่อสารเป้าหมายและยุทธศาสตร์องค์กรลงไปยังพนักงาน (Top-down) แต่ระบบ OKRs ต้องการให้เกิดนวัตกรรม ทีมงานระดับปฏิบัติการจึงร่วมกันเสนอความคิด วิธีการ และลงมือทำ

การมีส่วนร่วมคิดเป็นผลให้เกิดแรงจูงใจ มีกำลังใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ จนเกิดความผูกพันและร่วมขับเคลื่อน OKRs ให้สำเร็จ

5. มีความยืดหยุ่น

หากสถานการณ์ไม่เอื้อต่อวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือมีแววว่าจะเป็นไปไม่ได้ตามที่กำหนด ก็ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนแผนการปฏิบัติใน Key Results หรือแม้แต่ยกเลิกแผนก็ยังได้

6.เป็นเครื่องมือไม่ใช่กฎข้อบังคับ

ระบบ OKRs เป็นเครื่องมือประเมินว่า “การทำงานก้าวหน้าไปถึงไหน” เพื่อมุ่งบริหารแผนงานให้สำเร็จ จึงไม่นำไปเชื่อมโยงกับเงินเดือนหรือโบนัส ซึ่งอาจทำให้พนักงานไม่กล้าเสี่ยงทำเป้าหมายที่ท้าทาย แล้วทำแค่เอาตัวรอด

ทำไม OKRs จึงเหมาะกับยุคนี้

เพราะสังคมโลกปัจจุบันมีสภาวะที่เรียกว่า VUCA World คือมีทั้ง ความผันผวนเปลี่ยนแปลงเร็ว ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และความคลุมเครือ

ยิ่งมาเจอผลกระทบจากวิกฤตแพร่เชื้อโควิด-19 สังคมก็ถูกซ้ำเติมด้วยสภาวะ BANI World ซึ่งอธิบายด้วยหลักพฤติกรรมศาสตร์ สังคมก็มีความ เปราะบาง หลายสิ่งแตกหัก พังทลายง่าย เกิดความกังวล เพราะสับสนกับข้อมูลที่มากมายตัดสินใจยาก ความสัมพันธ์ไม่เป็นเส้นตรง ปรากฏการณ์ที่เกิดทำนายยาก โลกที่เข้าใจยาก สิ่งต่าง ๆ ซับซ้อนละเอียดมากขึ้น

การใช้เครื่องมือแบบ KPIs ที่ตั้งเป้าหมายตอนต้นปี เช่น การผลิต การตลาด หรือยอดขาย แล้วมาวัดผลตอนปลายปี จึงไม่ทันการณ์

ดังนั้นการใช้ OKRs ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง ปรับตัวไว ไม่ติดยึดในวิธีคิดวิธีทำแบบเดิมๆและ “มีเป้าหมายชัดที่วัดผลได้แบบมุ่งการพัฒนาไม่ใช่แบบเดิมพันกับผลตอบแทน” จึงได้ผลกว่า

การกำหนดเป้าหมายในระดับองค์กร มีผลลัพธ์สำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติการ ที่ตอบโจทย์เป้าหมายองค์กรให้สำเร็จ

เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เชื่อว่าจะได้รับความรอบรู้ครบเครื่องทั้งชุดความคิด (Mindset) ที่มุ่งผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและความถูกต้องเป็นธรรม ชุดทักษะ (Skillset) และ ชุดเครื่องมือ (Toolset) การบริหารจัดการที่กระตุ้นเตือนให้มันปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องของยุคสมัย

หนังสือแบ่งเป็น 14 บท ทำให้รู้จักและเข้าใจ OKRs เพื่อนำไปใช้สร้างความสำเร็จของแผนงาน เช่น เริ่มด้วยการคิดเชิงกลยุทธ์ รู้วิธีกำหนด OKRs ความแตกต่าง ของ OKRs และ KPIs การใช้ วิธีโค้ดติดตาม OKRs และการประยุกต์ใช้ OKRs กับเครื่องมือการจัดการอื่น ๆ

เมื่อประมวลความรู้และตัวอย่างที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ ประกอบกับการรับรู้ข่าวสารในวงการธุรกิจ ก็จะยืนยันให้เห็นว่ามีองค์กรชั้นนำ ที่ระบบ OKRs ไปใช้เสมือนได้ “ไม้กายสิทธิ์” ที่ช่วยบริหารความสำเร็จ เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายและมีแผนปฏิบัติสร้างผลลัพธ์สำคัญ ที่ทำให้เป้าหมายสำเร็จได้ ขณะที่ทีมงานมีความสุขสนุกกับงานได้ เพราะไม่ถูกกดดันจากการให้คุณให้โทษของระบบมุ่งวัดผล KPIs ซึ่งเป็นเสมือน “ไม้เรียว”

.......................................................
ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือ : OKRs เติบโต 10 เท่า ด้วยการตั้งเป้าแล้วทำได้จริง
ผู้เขียน : คณะผู้เชี่ยวชาญ OKR Academy Thailand
สำนักพิมพ์ : SHORTCUT



แนะนำหนังสือ


กำเนิด Netflix เปลี่ยนคำว่าไม่ ให้กลายเป็นเวิร์กผู้เขียน : มาร์ก แรนดอล์ฟ
ผู้แปล : โสภณ ศุภมั่งมี
สำนักพิมพ์ : ซีเอ็ดยูเคชั่น
ราคา 375 บาท
เรื่องราวอันน่าทึ่งของ "เน็ตฟลิกซ์ (Netflix)" ที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้มาก่อน เบื้องลึกเบื้องหลังไอเดียธุรกิจสู่สตาร์ตอัประดับโลก ทั้งหมดนี้เปิดเผยโดย "มาร์ก แรนดอล์ฟ” ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอคนแรก


กายใจสุขดี ชีวียืนยาว
ผู้เขียน : นพ. วีระพันธ์ สุวรรณามัย
สำนักพิมพ์ : ไลฟ์พลัส
ราคา 235 บาท
เรียบเรียงจากยูทูบช่อง "Dr.V Channel" โดย "นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางสมองระบบประสาท เพื่อบอกเล่าเรื่องโรคภัยใกล้ตัว เช่น โรคความดัน หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน อัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง สมองเสื่อม ปวดหน้า ปวดหัว ปวดไมเกรน เพื่อให้ผู้อ่านใช้เป็นคู่มือในการดูแลสุขภาพกายให้ดีตามวัย ด้วยสุขภาพใจที่มีสุข ซึ่งส่งผลถึงช่วงชีวิตที่มีความสุข สุขภาพดี (Healthspan) ดังใจปรารถนา


คุยกับลูกเรื่องเพศ
ผู้เขียน : มีฮย็อน ซ็อง
ผู้แปล : กิ่งดาว ไตรยสุนันท์, จิตรลดา มีเสมา
สำนักพิมพ์ : นานมีบุ๊คส์
ราคา 225 บาท
“Sex-education คุยกับลูกเรื่องเพศ” จะอธิบาย ไขข้อสงสัย และแก้ความเข้าใจผิดทุกเรื่องเกี่ยวกับเพศศึกษา ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ระบบสืบพันธุ์ การคุมกำเนิด สุขอนามัยทางเพศ รวมถึงส่งเสริมให้เด็กชายและหญิงตระหนักถึงสิทธิในร่างกายของตนเองและเคารพความแตกต่างของผู้อื่น เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีความสุข เขียนโดยแพทย์หญิงมีฮย็อน ซ็อง สูตินรีแพทย์และนักเขียนผู้ฝากผลงานไว้มากมาย ทั้งยังเป็นคุณแม่ลูกสอง จึงมีประสบการณ์และเข้าใจว่าจะสื่อสารเรื่องเพศกับลูกอย่างไร


ไม่ต้องหัวดี แค่รู้วิธีก็สำเร็จได้
ผู้เขียน : ทาเกโนริ อิโนมาตะ
ผู้แปล : ช่อลดา เจียมวิจักษณ์
สำนักพิมพ์ : เชนจ์ พลัส
ราคา 245 บาท
หนังสือที่บอกเล่ากลยุทธ์ในการพิชิตเป้าหมาย ผู้เขียนได้นำเสนอเทคนิคและเคล็ดลับของคนสำเร็จ ตั้งแต่วิธีตั้งเป้าหมาย วิธีเรียกสมาธิ กฎการบริหารเวลา เคล็ดลับเรียนและทำงานให้เกิดประสิทธิผล ตลอดจนเผยความลับที่ทำให้คนสำเร็จเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เหมาะสำหรับทุกคนที่อยากจะเอาดีทั้งเรื่องงาน การเรียน ครอบครัว และด้านอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน


เฮ้อ..หายตัวไปเลยได้มั้ย
ผู้เขียน : นีน่า คิม
ผู้แปล : จารุพรรณ์ สีดาฐิติวัฒน์
สำนักพิมพ์ : บลูม พับลิชชิ่ง
ราคา 295 บาท
หนังสือเล่มใหม่ของ "นีน่า คิม" นักวาดลายเส้นโดนใจ "พักให้ไหว ค่อยไปต่อ" และ "ฉันไม่ใช่ผู้ใหญ่ ฉันแค่อายุ 30" ผลงานหนังสือภาพลายเส้นน่ารักแสนอ่อนโยนเล่มนี้ จะเป็นหลุมหลบใจ ให้คุณมีเวลายิ้มให้กับตัวเอง เรียนรู้ความต้องการที่แท้จริง และใช้เวลาฟื้นฟูจิตใจที่บอบช้ำให้แข็งแรงขึ้น พร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างเปี่ยมกำลังใจ


กำลังโหลดความคิดเห็น