การบริหารองค์กร หรือดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ย่อมต้องการให้ได้ผลตามเป้าหมายที่กำหนด จึงต้องมีการติดตามวัดความคืบหน้า ไม่ให้หลงทิศ-ผิดทาง
ดังวลีอมตะของปรมาจารย์ด้านการจัดการสมัยใหม่ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ที่กล่าวว่า..
“ถ้าคุณวัดผลไม่ได้ คุณก็จัดการสิ่งนั้นไม่ได้” และแน่นอน เมื่อไม่มีการวัดผลสิ่งที่เกี่ยวข้องก็ “พัฒนาไม่ได้”
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราจะใช้เครื่องมืออะไรวัดผล และจะวัดอะไร ที่เหมาะสมหรือไม่ เพื่อประเมินผลการทำงานในบริบทของยุคปัจจุบัน
แม้ว่าการบริหารจัดการขององค์กรต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เรามักคุ้นเคยกับเครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผลการดำเนินงาน ที่เรียกว่า KPIs ซึ่งย่อจาก Key Performance Indicator เป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญ ซึ่งช่วยตอบข้อชี้นำของปรมาจารย์ด้านการบริหารดังกล่าวได้ผลดีจากการวัดผล
แต่แนวคิดและเทคนิควิธีการก็มีการพัฒนาไม่หยุด เกิดการค้นคิดและต่อยอดเป็นเครื่องมือการบริหารจัดการที่ใหม่กว่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเกื้อหนุนให้ผลประกอบการดีขึ้น เช่น การพัฒนาผลิตภาพ (Productivity) การพัฒนาระบบให้สามารถผลิตสินค้าและบริการตอบสนองลูกค้าได้ดีกว่าคู่แข่ง
อย่างเช่นระบบ “การจัดการตามวัตถุประสงค์” : MBO ( Management By Objective) ของปีเตอร์ ดรักเกอร์ ซึ่งนับว่าก้าวหน้าในช่วงปี 1960 แต่ต่อมาพบจุดอ่อน จนเมื่อ แอนดี้ โกรฟ ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทอินเทล ได้พัฒนาจุดแข็ง-แก้จุดอ่อน และต่อยอดให้กลายเป็น “ระบบการบริหารความสำเร็จ ที่มีเป้าหมายชัดและวัดผลได้” เรียกว่า I-MBO เมื่อปี 1971 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ OKRs
เมื่อจอห์น ดัวร์ ผู้เคยร่วมงานที่อินเทล ได้นำแนวคิดและวิธีการแบบ OKRs ไปใช้เต็มรูปแบบพร้อมสนับสนุนการลงทุนในบริษัทกูเกิ้ล เมื่อปี 2008 ก็ช่วยติดปีกความเจริญเติบโตของ”ธุรกิจจัดการข้อมูลที่โลกใช้ประโยชน์ได้” ให้สำเร็จแบบก้าวกระโดด จนเป็นกระแสสนใจของผู้บริหารทั่วโลก
ขอทบทวนว่า OKRs นั้นเป็นตัวย่อมาจาก O คือ Objective และ KR คือ Key Results
Objective คือวัตถุประสงค์ เป้าหมาย หรือสิ่งสำคัญที่ต้องการให้เกิดขึ้น ภายใน 3 เดือน หรือ 1 ปี ใช้ได้กับองค์กร ทีมงาน หรือตัวบุคคล ถ้ากำหนดเป้าชัดเจน ก็จะช่วยให้มุ่งมั่นเป็นวิสัยทัศน์ ที่ต้องทำให้บรรลุเป้าหมาย
ทั้งนี้ ควรตั้งเป้าหมายให้สูงหรือท้าทาย แม้จะยากแต่ก็มีโอกาสทำได้ เป็นความสำเร็จแบบก้าวกระโดด เหนือคู่แข่ง
Key Results คือผลลัพธ์สำคัญ หมายถึงสิ่งที่ “ต้องทำ” หรือ “อยากทำ” เพื่อให้วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เกิดขึ้นจริง มีการระบุจำนวนและกำหนดวันที่จะทำสำเร็จ โดยมีการประชุมติดตามผลความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรืออย่างน้อยทุก 3 เดือน
เพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงในเรื่องนี้มากขึ้น ผมขออ้างอิงจุดเด่นหนังสือขายดีที่ชื่อ “OKRs : เติบโต 10 เท่า ด้วยการตั้งเป้าแล้วทำได้จริง” ซึ่งเป็นผลงานเขียนของทีมผู้เชี่ยวชาญจาก OKR Academy Thailand
หลักคิด OKRs แบบต้นตำรับ
แอนดี้ โกรฟ เมื่อตอนริเริ่มระบบ OKRs เขามีชุดความคิดแบบนี้ครับ…
1.ทำน้อยได้มาก
เลือกทำในสิ่งสำคัญ ชนิดที่ “ไม่ทำไม่ได้” สัก3- 5 ข้อ (แม้ว่าจริง ๆ อาจมีสิ่งที่คิดว่าสำคัญหลายข้อก็ตาม แต่ให้จัดลำดับแล้วเลือกสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำก่อน และเป็นสิ่งที่ทำแล้วจะได้ผลลัพธ์ดีมาก
2.อย่าเผด็จการ
OKRs เป็นระบบสร้างความร่วมมือของคนที่เกี่ยวข้อง ในการจัดลำดับความสำคัญ “สิ่งที่ต้องทำและสามารถวัดผลได้” ผู้เกี่ยวข้องควรมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและร่วมกันกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วทำให้สำเร็จ
3.กล้าล้มเหลว
กระตุ้นให้ขยับเป้าหมายให้สูงขึ้น เพื่อสร้างสถิติใหม่ หรือทำสิ่งที่ท้าทายและเกิดแรงฮึกเหิมอยากทำ แม้อาจมีข้อผิดพลาดก็ได้เรียนรู้ เพื่อแก้ไข
4.ตั้งเป้าหมายจากระดับล่างขึ้นบน
แม้ระดับบริหารจะสื่อสารเป้าหมายและยุทธศาสตร์องค์กรลงไปยังพนักงาน (Top-down) แต่ระบบ OKRs ต้องการให้เกิดนวัตกรรม ทีมงานระดับปฏิบัติการจึงร่วมกันเสนอความคิด วิธีการ และลงมือทำ
การมีส่วนร่วมคิดเป็นผลให้เกิดแรงจูงใจ มีกำลังใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ จนเกิดความผูกพันและร่วมขับเคลื่อน OKRs ให้สำเร็จ
5. มีความยืดหยุ่น
หากสถานการณ์ไม่เอื้อต่อวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือมีแววว่าจะเป็นไปไม่ได้ตามที่กำหนด ก็ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนแผนการปฏิบัติใน Key Results หรือแม้แต่ยกเลิกแผนก็ยังได้
6.เป็นเครื่องมือไม่ใช่กฎข้อบังคับ
ระบบ OKRs เป็นเครื่องมือประเมินว่า “การทำงานก้าวหน้าไปถึงไหน” เพื่อมุ่งบริหารแผนงานให้สำเร็จ จึงไม่นำไปเชื่อมโยงกับเงินเดือนหรือโบนัส ซึ่งอาจทำให้พนักงานไม่กล้าเสี่ยงทำเป้าหมายที่ท้าทาย แล้วทำแค่เอาตัวรอด
ทำไม OKRs จึงเหมาะกับยุคนี้
เพราะสังคมโลกปัจจุบันมีสภาวะที่เรียกว่า VUCA World คือมีทั้ง ความผันผวนเปลี่ยนแปลงเร็ว ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และความคลุมเครือ
ยิ่งมาเจอผลกระทบจากวิกฤตแพร่เชื้อโควิด-19 สังคมก็ถูกซ้ำเติมด้วยสภาวะ BANI World ซึ่งอธิบายด้วยหลักพฤติกรรมศาสตร์ สังคมก็มีความ เปราะบาง หลายสิ่งแตกหัก พังทลายง่าย เกิดความกังวล เพราะสับสนกับข้อมูลที่มากมายตัดสินใจยาก ความสัมพันธ์ไม่เป็นเส้นตรง ปรากฏการณ์ที่เกิดทำนายยาก โลกที่เข้าใจยาก สิ่งต่าง ๆ ซับซ้อนละเอียดมากขึ้น
การใช้เครื่องมือแบบ KPIs ที่ตั้งเป้าหมายตอนต้นปี เช่น การผลิต การตลาด หรือยอดขาย แล้วมาวัดผลตอนปลายปี จึงไม่ทันการณ์
ดังนั้นการใช้ OKRs ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง ปรับตัวไว ไม่ติดยึดในวิธีคิดวิธีทำแบบเดิมๆและ “มีเป้าหมายชัดที่วัดผลได้แบบมุ่งการพัฒนาไม่ใช่แบบเดิมพันกับผลตอบแทน” จึงได้ผลกว่า
การกำหนดเป้าหมายในระดับองค์กร มีผลลัพธ์สำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติการ ที่ตอบโจทย์เป้าหมายองค์กรให้สำเร็จ
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เชื่อว่าจะได้รับความรอบรู้ครบเครื่องทั้งชุดความคิด (Mindset) ที่มุ่งผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและความถูกต้องเป็นธรรม ชุดทักษะ (Skillset) และ ชุดเครื่องมือ (Toolset) การบริหารจัดการที่กระตุ้นเตือนให้มันปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องของยุคสมัย
หนังสือแบ่งเป็น 14 บท ทำให้รู้จักและเข้าใจ OKRs เพื่อนำไปใช้สร้างความสำเร็จของแผนงาน เช่น เริ่มด้วยการคิดเชิงกลยุทธ์ รู้วิธีกำหนด OKRs ความแตกต่าง ของ OKRs และ KPIs การใช้ วิธีโค้ดติดตาม OKRs และการประยุกต์ใช้ OKRs กับเครื่องมือการจัดการอื่น ๆ
เมื่อประมวลความรู้และตัวอย่างที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ ประกอบกับการรับรู้ข่าวสารในวงการธุรกิจ ก็จะยืนยันให้เห็นว่ามีองค์กรชั้นนำ ที่ระบบ OKRs ไปใช้เสมือนได้ “ไม้กายสิทธิ์” ที่ช่วยบริหารความสำเร็จ เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายและมีแผนปฏิบัติสร้างผลลัพธ์สำคัญ ที่ทำให้เป้าหมายสำเร็จได้ ขณะที่ทีมงานมีความสุขสนุกกับงานได้ เพราะไม่ถูกกดดันจากการให้คุณให้โทษของระบบมุ่งวัดผล KPIs ซึ่งเป็นเสมือน “ไม้เรียว”
.......................................................
ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือ : OKRs เติบโต 10 เท่า ด้วยการตั้งเป้าแล้วทำได้จริง
ผู้เขียน : คณะผู้เชี่ยวชาญ OKR Academy Thailand
สำนักพิมพ์ : SHORTCUT
แนะนำหนังสือ
กำเนิด Netflix เปลี่ยนคำว่าไม่ ให้กลายเป็นเวิร์กผู้เขียน : มาร์ก แรนดอล์ฟ
ผู้แปล : โสภณ ศุภมั่งมี
สำนักพิมพ์ : ซีเอ็ดยูเคชั่น
ราคา 375 บาท
เรื่องราวอันน่าทึ่งของ "เน็ตฟลิกซ์ (Netflix)" ที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้มาก่อน เบื้องลึกเบื้องหลังไอเดียธุรกิจสู่สตาร์ตอัประดับโลก ทั้งหมดนี้เปิดเผยโดย "มาร์ก แรนดอล์ฟ” ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอคนแรก
กายใจสุขดี ชีวียืนยาว
ผู้เขียน : นพ. วีระพันธ์ สุวรรณามัย
สำนักพิมพ์ : ไลฟ์พลัส
ราคา 235 บาท
เรียบเรียงจากยูทูบช่อง "Dr.V Channel" โดย "นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางสมองระบบประสาท เพื่อบอกเล่าเรื่องโรคภัยใกล้ตัว เช่น โรคความดัน หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน อัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง สมองเสื่อม ปวดหน้า ปวดหัว ปวดไมเกรน เพื่อให้ผู้อ่านใช้เป็นคู่มือในการดูแลสุขภาพกายให้ดีตามวัย ด้วยสุขภาพใจที่มีสุข ซึ่งส่งผลถึงช่วงชีวิตที่มีความสุข สุขภาพดี (Healthspan) ดังใจปรารถนา
คุยกับลูกเรื่องเพศ
ผู้เขียน : มีฮย็อน ซ็อง
ผู้แปล : กิ่งดาว ไตรยสุนันท์, จิตรลดา มีเสมา
สำนักพิมพ์ : นานมีบุ๊คส์
ราคา 225 บาท
“Sex-education คุยกับลูกเรื่องเพศ” จะอธิบาย ไขข้อสงสัย และแก้ความเข้าใจผิดทุกเรื่องเกี่ยวกับเพศศึกษา ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ระบบสืบพันธุ์ การคุมกำเนิด สุขอนามัยทางเพศ รวมถึงส่งเสริมให้เด็กชายและหญิงตระหนักถึงสิทธิในร่างกายของตนเองและเคารพความแตกต่างของผู้อื่น เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีความสุข เขียนโดยแพทย์หญิงมีฮย็อน ซ็อง สูตินรีแพทย์และนักเขียนผู้ฝากผลงานไว้มากมาย ทั้งยังเป็นคุณแม่ลูกสอง จึงมีประสบการณ์และเข้าใจว่าจะสื่อสารเรื่องเพศกับลูกอย่างไร
ไม่ต้องหัวดี แค่รู้วิธีก็สำเร็จได้
ผู้เขียน : ทาเกโนริ อิโนมาตะ
ผู้แปล : ช่อลดา เจียมวิจักษณ์
สำนักพิมพ์ : เชนจ์ พลัส
ราคา 245 บาท
หนังสือที่บอกเล่ากลยุทธ์ในการพิชิตเป้าหมาย ผู้เขียนได้นำเสนอเทคนิคและเคล็ดลับของคนสำเร็จ ตั้งแต่วิธีตั้งเป้าหมาย วิธีเรียกสมาธิ กฎการบริหารเวลา เคล็ดลับเรียนและทำงานให้เกิดประสิทธิผล ตลอดจนเผยความลับที่ทำให้คนสำเร็จเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เหมาะสำหรับทุกคนที่อยากจะเอาดีทั้งเรื่องงาน การเรียน ครอบครัว และด้านอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน
เฮ้อ..หายตัวไปเลยได้มั้ย
ผู้เขียน : นีน่า คิม
ผู้แปล : จารุพรรณ์ สีดาฐิติวัฒน์
สำนักพิมพ์ : บลูม พับลิชชิ่ง
ราคา 295 บาท
หนังสือเล่มใหม่ของ "นีน่า คิม" นักวาดลายเส้นโดนใจ "พักให้ไหว ค่อยไปต่อ" และ "ฉันไม่ใช่ผู้ใหญ่ ฉันแค่อายุ 30" ผลงานหนังสือภาพลายเส้นน่ารักแสนอ่อนโยนเล่มนี้ จะเป็นหลุมหลบใจ ให้คุณมีเวลายิ้มให้กับตัวเอง เรียนรู้ความต้องการที่แท้จริง และใช้เวลาฟื้นฟูจิตใจที่บอบช้ำให้แข็งแรงขึ้น พร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างเปี่ยมกำลังใจ
ดังวลีอมตะของปรมาจารย์ด้านการจัดการสมัยใหม่ ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ที่กล่าวว่า..
“ถ้าคุณวัดผลไม่ได้ คุณก็จัดการสิ่งนั้นไม่ได้” และแน่นอน เมื่อไม่มีการวัดผลสิ่งที่เกี่ยวข้องก็ “พัฒนาไม่ได้”
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เราจะใช้เครื่องมืออะไรวัดผล และจะวัดอะไร ที่เหมาะสมหรือไม่ เพื่อประเมินผลการทำงานในบริบทของยุคปัจจุบัน
แม้ว่าการบริหารจัดการขององค์กรต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เรามักคุ้นเคยกับเครื่องมือที่ใช้วัดและประเมินผลการดำเนินงาน ที่เรียกว่า KPIs ซึ่งย่อจาก Key Performance Indicator เป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญ ซึ่งช่วยตอบข้อชี้นำของปรมาจารย์ด้านการบริหารดังกล่าวได้ผลดีจากการวัดผล
แต่แนวคิดและเทคนิควิธีการก็มีการพัฒนาไม่หยุด เกิดการค้นคิดและต่อยอดเป็นเครื่องมือการบริหารจัดการที่ใหม่กว่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเกื้อหนุนให้ผลประกอบการดีขึ้น เช่น การพัฒนาผลิตภาพ (Productivity) การพัฒนาระบบให้สามารถผลิตสินค้าและบริการตอบสนองลูกค้าได้ดีกว่าคู่แข่ง
อย่างเช่นระบบ “การจัดการตามวัตถุประสงค์” : MBO ( Management By Objective) ของปีเตอร์ ดรักเกอร์ ซึ่งนับว่าก้าวหน้าในช่วงปี 1960 แต่ต่อมาพบจุดอ่อน จนเมื่อ แอนดี้ โกรฟ ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทอินเทล ได้พัฒนาจุดแข็ง-แก้จุดอ่อน และต่อยอดให้กลายเป็น “ระบบการบริหารความสำเร็จ ที่มีเป้าหมายชัดและวัดผลได้” เรียกว่า I-MBO เมื่อปี 1971 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ OKRs
เมื่อจอห์น ดัวร์ ผู้เคยร่วมงานที่อินเทล ได้นำแนวคิดและวิธีการแบบ OKRs ไปใช้เต็มรูปแบบพร้อมสนับสนุนการลงทุนในบริษัทกูเกิ้ล เมื่อปี 2008 ก็ช่วยติดปีกความเจริญเติบโตของ”ธุรกิจจัดการข้อมูลที่โลกใช้ประโยชน์ได้” ให้สำเร็จแบบก้าวกระโดด จนเป็นกระแสสนใจของผู้บริหารทั่วโลก
ขอทบทวนว่า OKRs นั้นเป็นตัวย่อมาจาก O คือ Objective และ KR คือ Key Results
Objective คือวัตถุประสงค์ เป้าหมาย หรือสิ่งสำคัญที่ต้องการให้เกิดขึ้น ภายใน 3 เดือน หรือ 1 ปี ใช้ได้กับองค์กร ทีมงาน หรือตัวบุคคล ถ้ากำหนดเป้าชัดเจน ก็จะช่วยให้มุ่งมั่นเป็นวิสัยทัศน์ ที่ต้องทำให้บรรลุเป้าหมาย
ทั้งนี้ ควรตั้งเป้าหมายให้สูงหรือท้าทาย แม้จะยากแต่ก็มีโอกาสทำได้ เป็นความสำเร็จแบบก้าวกระโดด เหนือคู่แข่ง
Key Results คือผลลัพธ์สำคัญ หมายถึงสิ่งที่ “ต้องทำ” หรือ “อยากทำ” เพื่อให้วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เกิดขึ้นจริง มีการระบุจำนวนและกำหนดวันที่จะทำสำเร็จ โดยมีการประชุมติดตามผลความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน หรืออย่างน้อยทุก 3 เดือน
เพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงในเรื่องนี้มากขึ้น ผมขออ้างอิงจุดเด่นหนังสือขายดีที่ชื่อ “OKRs : เติบโต 10 เท่า ด้วยการตั้งเป้าแล้วทำได้จริง” ซึ่งเป็นผลงานเขียนของทีมผู้เชี่ยวชาญจาก OKR Academy Thailand
หลักคิด OKRs แบบต้นตำรับ
แอนดี้ โกรฟ เมื่อตอนริเริ่มระบบ OKRs เขามีชุดความคิดแบบนี้ครับ…
1.ทำน้อยได้มาก
เลือกทำในสิ่งสำคัญ ชนิดที่ “ไม่ทำไม่ได้” สัก3- 5 ข้อ (แม้ว่าจริง ๆ อาจมีสิ่งที่คิดว่าสำคัญหลายข้อก็ตาม แต่ให้จัดลำดับแล้วเลือกสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำก่อน และเป็นสิ่งที่ทำแล้วจะได้ผลลัพธ์ดีมาก
2.อย่าเผด็จการ
OKRs เป็นระบบสร้างความร่วมมือของคนที่เกี่ยวข้อง ในการจัดลำดับความสำคัญ “สิ่งที่ต้องทำและสามารถวัดผลได้” ผู้เกี่ยวข้องควรมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและร่วมกันกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน แล้วทำให้สำเร็จ
3.กล้าล้มเหลว
กระตุ้นให้ขยับเป้าหมายให้สูงขึ้น เพื่อสร้างสถิติใหม่ หรือทำสิ่งที่ท้าทายและเกิดแรงฮึกเหิมอยากทำ แม้อาจมีข้อผิดพลาดก็ได้เรียนรู้ เพื่อแก้ไข
4.ตั้งเป้าหมายจากระดับล่างขึ้นบน
แม้ระดับบริหารจะสื่อสารเป้าหมายและยุทธศาสตร์องค์กรลงไปยังพนักงาน (Top-down) แต่ระบบ OKRs ต้องการให้เกิดนวัตกรรม ทีมงานระดับปฏิบัติการจึงร่วมกันเสนอความคิด วิธีการ และลงมือทำ
การมีส่วนร่วมคิดเป็นผลให้เกิดแรงจูงใจ มีกำลังใจและรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ จนเกิดความผูกพันและร่วมขับเคลื่อน OKRs ให้สำเร็จ
5. มีความยืดหยุ่น
หากสถานการณ์ไม่เอื้อต่อวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือมีแววว่าจะเป็นไปไม่ได้ตามที่กำหนด ก็ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนแผนการปฏิบัติใน Key Results หรือแม้แต่ยกเลิกแผนก็ยังได้
6.เป็นเครื่องมือไม่ใช่กฎข้อบังคับ
ระบบ OKRs เป็นเครื่องมือประเมินว่า “การทำงานก้าวหน้าไปถึงไหน” เพื่อมุ่งบริหารแผนงานให้สำเร็จ จึงไม่นำไปเชื่อมโยงกับเงินเดือนหรือโบนัส ซึ่งอาจทำให้พนักงานไม่กล้าเสี่ยงทำเป้าหมายที่ท้าทาย แล้วทำแค่เอาตัวรอด
ทำไม OKRs จึงเหมาะกับยุคนี้
เพราะสังคมโลกปัจจุบันมีสภาวะที่เรียกว่า VUCA World คือมีทั้ง ความผันผวนเปลี่ยนแปลงเร็ว ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และความคลุมเครือ
ยิ่งมาเจอผลกระทบจากวิกฤตแพร่เชื้อโควิด-19 สังคมก็ถูกซ้ำเติมด้วยสภาวะ BANI World ซึ่งอธิบายด้วยหลักพฤติกรรมศาสตร์ สังคมก็มีความ เปราะบาง หลายสิ่งแตกหัก พังทลายง่าย เกิดความกังวล เพราะสับสนกับข้อมูลที่มากมายตัดสินใจยาก ความสัมพันธ์ไม่เป็นเส้นตรง ปรากฏการณ์ที่เกิดทำนายยาก โลกที่เข้าใจยาก สิ่งต่าง ๆ ซับซ้อนละเอียดมากขึ้น
การใช้เครื่องมือแบบ KPIs ที่ตั้งเป้าหมายตอนต้นปี เช่น การผลิต การตลาด หรือยอดขาย แล้วมาวัดผลตอนปลายปี จึงไม่ทันการณ์
ดังนั้นการใช้ OKRs ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง ปรับตัวไว ไม่ติดยึดในวิธีคิดวิธีทำแบบเดิมๆและ “มีเป้าหมายชัดที่วัดผลได้แบบมุ่งการพัฒนาไม่ใช่แบบเดิมพันกับผลตอบแทน” จึงได้ผลกว่า
การกำหนดเป้าหมายในระดับองค์กร มีผลลัพธ์สำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดแผนปฏิบัติการ ที่ตอบโจทย์เป้าหมายองค์กรให้สำเร็จ
เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เชื่อว่าจะได้รับความรอบรู้ครบเครื่องทั้งชุดความคิด (Mindset) ที่มุ่งผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและความถูกต้องเป็นธรรม ชุดทักษะ (Skillset) และ ชุดเครื่องมือ (Toolset) การบริหารจัดการที่กระตุ้นเตือนให้มันปรับเปลี่ยนให้ทันสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องของยุคสมัย
หนังสือแบ่งเป็น 14 บท ทำให้รู้จักและเข้าใจ OKRs เพื่อนำไปใช้สร้างความสำเร็จของแผนงาน เช่น เริ่มด้วยการคิดเชิงกลยุทธ์ รู้วิธีกำหนด OKRs ความแตกต่าง ของ OKRs และ KPIs การใช้ วิธีโค้ดติดตาม OKRs และการประยุกต์ใช้ OKRs กับเครื่องมือการจัดการอื่น ๆ
เมื่อประมวลความรู้และตัวอย่างที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ ประกอบกับการรับรู้ข่าวสารในวงการธุรกิจ ก็จะยืนยันให้เห็นว่ามีองค์กรชั้นนำ ที่ระบบ OKRs ไปใช้เสมือนได้ “ไม้กายสิทธิ์” ที่ช่วยบริหารความสำเร็จ เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายและมีแผนปฏิบัติสร้างผลลัพธ์สำคัญ ที่ทำให้เป้าหมายสำเร็จได้ ขณะที่ทีมงานมีความสุขสนุกกับงานได้ เพราะไม่ถูกกดดันจากการให้คุณให้โทษของระบบมุ่งวัดผล KPIs ซึ่งเป็นเสมือน “ไม้เรียว”
.......................................................
ข้อมูลอ้างอิงจากหนังสือ : OKRs เติบโต 10 เท่า ด้วยการตั้งเป้าแล้วทำได้จริง
ผู้เขียน : คณะผู้เชี่ยวชาญ OKR Academy Thailand
สำนักพิมพ์ : SHORTCUT
แนะนำหนังสือ
กำเนิด Netflix เปลี่ยนคำว่าไม่ ให้กลายเป็นเวิร์กผู้เขียน : มาร์ก แรนดอล์ฟ
ผู้แปล : โสภณ ศุภมั่งมี
สำนักพิมพ์ : ซีเอ็ดยูเคชั่น
ราคา 375 บาท
เรื่องราวอันน่าทึ่งของ "เน็ตฟลิกซ์ (Netflix)" ที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้มาก่อน เบื้องลึกเบื้องหลังไอเดียธุรกิจสู่สตาร์ตอัประดับโลก ทั้งหมดนี้เปิดเผยโดย "มาร์ก แรนดอล์ฟ” ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอคนแรก
กายใจสุขดี ชีวียืนยาว
ผู้เขียน : นพ. วีระพันธ์ สุวรรณามัย
สำนักพิมพ์ : ไลฟ์พลัส
ราคา 235 บาท
เรียบเรียงจากยูทูบช่อง "Dr.V Channel" โดย "นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคทางสมองระบบประสาท เพื่อบอกเล่าเรื่องโรคภัยใกล้ตัว เช่น โรคความดัน หลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน อัมพฤกษ์ อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง สมองเสื่อม ปวดหน้า ปวดหัว ปวดไมเกรน เพื่อให้ผู้อ่านใช้เป็นคู่มือในการดูแลสุขภาพกายให้ดีตามวัย ด้วยสุขภาพใจที่มีสุข ซึ่งส่งผลถึงช่วงชีวิตที่มีความสุข สุขภาพดี (Healthspan) ดังใจปรารถนา
คุยกับลูกเรื่องเพศ
ผู้เขียน : มีฮย็อน ซ็อง
ผู้แปล : กิ่งดาว ไตรยสุนันท์, จิตรลดา มีเสมา
สำนักพิมพ์ : นานมีบุ๊คส์
ราคา 225 บาท
“Sex-education คุยกับลูกเรื่องเพศ” จะอธิบาย ไขข้อสงสัย และแก้ความเข้าใจผิดทุกเรื่องเกี่ยวกับเพศศึกษา ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ระบบสืบพันธุ์ การคุมกำเนิด สุขอนามัยทางเพศ รวมถึงส่งเสริมให้เด็กชายและหญิงตระหนักถึงสิทธิในร่างกายของตนเองและเคารพความแตกต่างของผู้อื่น เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีความสุข เขียนโดยแพทย์หญิงมีฮย็อน ซ็อง สูตินรีแพทย์และนักเขียนผู้ฝากผลงานไว้มากมาย ทั้งยังเป็นคุณแม่ลูกสอง จึงมีประสบการณ์และเข้าใจว่าจะสื่อสารเรื่องเพศกับลูกอย่างไร
ไม่ต้องหัวดี แค่รู้วิธีก็สำเร็จได้
ผู้เขียน : ทาเกโนริ อิโนมาตะ
ผู้แปล : ช่อลดา เจียมวิจักษณ์
สำนักพิมพ์ : เชนจ์ พลัส
ราคา 245 บาท
หนังสือที่บอกเล่ากลยุทธ์ในการพิชิตเป้าหมาย ผู้เขียนได้นำเสนอเทคนิคและเคล็ดลับของคนสำเร็จ ตั้งแต่วิธีตั้งเป้าหมาย วิธีเรียกสมาธิ กฎการบริหารเวลา เคล็ดลับเรียนและทำงานให้เกิดประสิทธิผล ตลอดจนเผยความลับที่ทำให้คนสำเร็จเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เหมาะสำหรับทุกคนที่อยากจะเอาดีทั้งเรื่องงาน การเรียน ครอบครัว และด้านอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน
เฮ้อ..หายตัวไปเลยได้มั้ย
ผู้เขียน : นีน่า คิม
ผู้แปล : จารุพรรณ์ สีดาฐิติวัฒน์
สำนักพิมพ์ : บลูม พับลิชชิ่ง
ราคา 295 บาท
หนังสือเล่มใหม่ของ "นีน่า คิม" นักวาดลายเส้นโดนใจ "พักให้ไหว ค่อยไปต่อ" และ "ฉันไม่ใช่ผู้ใหญ่ ฉันแค่อายุ 30" ผลงานหนังสือภาพลายเส้นน่ารักแสนอ่อนโยนเล่มนี้ จะเป็นหลุมหลบใจ ให้คุณมีเวลายิ้มให้กับตัวเอง เรียนรู้ความต้องการที่แท้จริง และใช้เวลาฟื้นฟูจิตใจที่บอบช้ำให้แข็งแรงขึ้น พร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างเปี่ยมกำลังใจ