เข้าสู่ครึ่งหลังของปีแล้ว เส้นทางการไปสู่เป้าหมายก็ยิ่งเหลือวันทำงานและใช้ชีวิตสำหรับปีนี้น้อยลง ตามกฎธรรมชาติ
แต่เวลาที่เหลือ ถ้าคิดใฝ่ดี ก็ยังเป็นโอกาสให้ปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ในการเพิ่มจุดแข็ง แก้จุดอ่อน
ว่าแต่คุณคิดว่ามีประเด็นอะไรที่จำเป็นต้องปรับปรุง หรือขัดเกลาให้แวววาวขึ้น เป็นชีวิตที่มีคุณค่า ดีเพื่อตัวเองและสังคม
เอาล่ะ ผมขอจุดประกายความคิดนำไปก่อน ด้วยการยกเรื่องดี ๆ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 2 หัวข้อ จากหนังสือ “11 เทคนิคเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เป็นคนเรียนเก่ง จำแม่นและได้คะแนนดี”
วิธีสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
ถ้าเราอยากเรียนให้ดีหรือทำงานให้สำเร็จ ไม่ใช่เพียงมี “ความต้องการ” แต่ยังต้องมี “การทุ่มเท” ที่มากพอ ซึ่งเป็นปัจจัยขององค์ประกอบการเกิดแรงจูงใจให้ทุ่มเท ทำจริง จึงสำเร็จได้
แรงจูงใจนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีติดตัวคนเรา หรือไม่มีติดตัวก็ตาม แรงจูงใจนั้น สร้างได้ เพิ่มพูนได้ และรักษาไว้กับตัวได้ โดยใช้เทคนิคที่ต่างกันไป
วิธีสร้างและรักษาแรงจูงใจ
1.ค้นหาคุณค่าในสิ่งที่ทำ
เริ่มต้นที่การมีทัศนคติ คิดบวก เพื่อให้เกิดแรงจูงใจ เช่นเปลี่ยนมุมมองจากการที่นักศึกษาไปทำงานพิเศษในวันหยุด ด้วยการล้างจานในร้านอาหาร ลองคิดดูมา การทำงานในห้องครัวที่ร้อนอบอ้าว เมื่อเทียบกับการเข้าห้องเรียนก็ ดีกว่า ในสำหรับคนสู้งานและสู้การเรียน ก็พร้อมเลือกทั้ง 2 อย่าง
การเปลี่ยนทัศนคติใหม่ให้กับงานที่กำลังทำ หรือสิ่งที่ต้องรับมือ เช่น หาข้อดีต่าง ๆ ที่ได้รับ เมื่อแจกแจงเหตุผลแล้ว ไอเดียที่ไม่เคยคิดก็อาจจะผุดขึ้น
หรือตั้งรางวัลแบบง่าย ๆ เช่น ไม่ทำงานส่วนหนึ่งสำเร็จ ได้หยุดพักสั้นๆ ฟังเพลง หรือดูทีวีรายการโปรด ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนสะสมคุณค่าไปสู่แรงจูงใจ
2.ฝึกฝนเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ
การรู้สึกว่าได้ทำงานที่เชี่ยวชาญ คือแรงจูงใจที่มีพลัง หากเจองานยาก ให้แบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย ก็จูงใจให้เดือนหน้าได้
3.ตั้งเป้าหมาย กำหนดสิ่งที่ต้องการ
การตั้งเป้าหมายคือเครื่องมือสร้างแรงจูงใจที่ดีมาก มี 3 รูปแบบ
1) เป้าหมายระยะยาว (Long-Term Goal)ควรเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น และทำให้คุณรู้สึกดี เช่น
วันหนึ่งฉันจะเป็นหมอ
วันหนึ่งฉันจะเดินทางรอบโลก
ฉันจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
แล้วนำรูปภาพของสิ่งที่เป็นตัวแทนของเป้าหมาย มาไว้ใกล้ตาและมองเห็นชัด จะกระตุ้นเตือนให้คุณมีแรงจูงใจ ที่จะมุ่งมั่นก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้
2) เป้าหมายแต่ละขั้นความสำเร็จ (Milestone Goal)
เป้าหมายระยะยาวจะได้แรงเกื้อหนุนจากเป้าหมายแต่ละขั้นความสำเร็จ ที่เปรียบเสมือนเป็นแต่ละย่างก้าว ที่คุณเดินไปบนเส้นทางสู่เป้าหมายระยะยาว
3) เป้าหมายในการปฏิบัติ ( Process Goal)
เป้าหมายแต่ละขั้นตอนความสำเร็จ ก็เป็นแรงหนุนจากเป้าหมายในการปฏิบัติ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้บรรลุเป้าหมายแต่ละขั้นความสำเร็จ เช่น
ทบทวนวิชาเลข 1 ชั่วโมง ทุกวัน
ท่องคำศัพท์ใหม่ 10 คำ ทุกวัน
การกำหนดเป้าหมายจะช่วยกระตุ้นให้มีแรงจูงใจ ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายแต่ละขั้นตอน และ เป้าหมายในการปฏิบัติ ได้ดี
การกำหนดเป้าหมายนั้นควรจะมีคุณสมบัติโดยย่อว่า SMART ได้แก่
Specific : เฉพาะเจาะจง
Measurable : วัดผลได้
Ambitious : มุ่งมั่น
Realistic : ทำได้จริง
Time-Limited : มีกำหนดเวลา
วิธีสร้างวินัยให้ตัวเอง
ทีโอดอร์ รูสเวลต์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ เชื่อว่ากุญแจสู่ความสำเร็จคือ การมีวินัยในตัวเอง สำคัญมากกว่าการมีพรสวรรค์ มีการศึกษาและความฉลาด ดังนั้น ถ้าต้องการเสริมสร้างหรือเพิ่มวินัยในตัวเอง ก็ต้องคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้
วินัยในตนเองเป็นเรื่องท้าทาย
นี่คือความสามารถควบคุมตนเองได้ รู้จักยับยั้งชั่งใจ หรือห้ามใจไม่ทำตามสิ่งยั่วยุจากผู้อื่น และฝ่าฟันอุปสรรคจนทำงานให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย
มีงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า ผู้มีวินัยในตนเองจะมีความสุข ร่างกายแข็งแรง มีฐานะร่ำรวย ไม่ค่อยมีปัญหาในชีวิต และเรียนเกรดดีกว่าผู้ไม่มีวินัยในตนเอง
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีวินัยในตนเอง และทำอะไรตามใจชอบ เป็นคนมักจะผัดวันประกันพรุ่ง ตัดสินใจแบบฉับพลัน ยอมอ่อนข้อให้ตนเอง แล้วก็มารู้สึกเสียดายภายหลัง มาบ่นว่า “รู้งี้…” ก็สายเสียแล้ว
ต้องทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
เช่น อยากไปยิมเพื่อออกกำลังกายทุกคืนวันพฤหัสบดี แต่มักไม่พร้อมจะออกไป ก็ควรจัดกระเป๋าล่วงหน้า 1 วัน เพื่อง่ายต่อการหยิบออกไปทันที
ถ้าเป็นคนตื่นยาก ให้วางนาฬิกาปลุกไว้คนละฝั่งกับเตียงนอน เพื่อให้คุณปิดเสียงปลุกลำบากขึ้น
หากคุณเป็นคนไม่ค่อยมีวินัยในตนเอง ขอให้ขจัดสิ่งรบกวนหรือสิ่งยั่วยวนใจ หรือความรู้สึกอยากทำตามใจ ให้ออกไปห่าง ๆ
ปรับเปลี่ยนนิสัย
การเปลี่ยนนิสัยต้องใช้เวลาและความมานะพยายาม โดยทั่วไปแล้วใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เมื่อทำซ้ำจะกลายเป็นนิสัย ก็ต้องอาศัยวินัยในตัวเองด้วย นิสัยที่ดีก็จะช่วยให้มีพละกำลัง และรักษาวินัยในตนเองได้ดีต่อไป
วางเป้าหมายและระบุอุปสรรค
การวางแผนว่าจะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร เมื่อมุ่งมั่นทำจริงก็จะสำเร็จตามเป้าหมาย รวมทั้งมีแผนล่วงหน้ารับมือต่ออุปสรรคได้ด้วย
ไม่ลืมพักสมอง
เพื่อไม่ให้ใช้เวลาเรียนหรือทำงานจนติดลม แล้วจะรู้สึกเหนื่อยเกินไป การจัดแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง ทำกิจกรรมสนุกกับคนรักหรือคนสนิท ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อจะได้พักสมองบ้าง
นอกจาก 2 บทที่นำมาแบ่งปันแนวปฏิบัติข้างต้นแล้ว หนังสือ 11 เทคนิคเปลี่ยนแปลงตัวเอง เล่มนี้มีหัวข้อที่น่าสนใจอย่างรอบด้าน วิธีทําให้มีสมาธิจดจ่อและเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่ง วิธีทำให้คิดเร็วและจำเก่ง วิธีอ่านเก่ง วิธีเปลี่ยนตัวเองให้เรียนเก่ง ที่น่าอ่าน ใช้ประโยชน์ดีและไม่เบื่อ
...................................................
ข้อมูลจากหนังสือ 11 เทคนิคเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เป็นคนเรียนเก่ง จำแม่นและได้คะแนนดี
ผู้เขียน Dr.Barbara Oakley, Olav Schewe
ผู้แปล เอกชัย วังประภา
บรรณาธิการ สมชัย เบญจมิตร
สำนักพิมพ์ BEE MEDIA
แนะนำหนังสือ
นับหนึ่งถึงสำเร็จ
ผู้เขียน : กาย ราซ
ผู้แปล : สมสกุล เผ่าจินดามุข
สำนักพิมพ์ : เนชั่นบุคส์
ราคา 350 บาท
เรื่องราวบันดาลใจบนเส้นทางสร้างฝันของคนธรรมดา ๆ ที่ไม่ว่าแต่ละเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร ทุกเส้นทางล้วนมีประสบการณ์ให้เรียนรู้ มีเทคนิคและข้อคิดดี ๆ มากมายที่ทุกคนเก็บเกี่ยวไปใช้ได้
เมื่อบันไดหัก : มองสังคมเหลื่อมล้ำผ่านจิตวิทยา
ผู้เขียน : คีธ เพย์น
ผู้แปล : วิทย์ วิชัยดิษฐ
สำนักพิมพ์ : บุ๊คสเคป
ราคา 345 บาท
กะเทาะเปลือกความเหลื่อมล้ำที่ไม่ใช่เพียงปัญหาเศรษฐกิจ แต่หยั่งรากลึกในชีวิต ความคิด ค่านิยม ไปจนถึงระบบภูมิคุ้มกันและอุดมการณ์ทางการเมือง พร้อมงานวิจัยอ่านสนุกที่จะทลายอคติและมายาคติเกี่ยวกับความจน
สุดยอดทักษะของคนเก่งงาน
ผู้เขียน : Kiyama Hirotasugu
ผู้แปล : อนิษา เกมเผ่าพันธ์
สำนักพิมพ์ : อัมรินท์ How To
ราคา 245 บาท
รวบรวมเทคนิคอ่าน เขียน คิดและสื่อความสำหรับคนที่เริ่มต้นในการทำงาน นี่คือคัมภีร์การทำงานที่ผู้ใฝ่ความก้าวหน้าแบบติดปีกทุกคนต้องอ่าน
แก้เบาหวานด้วยรหัสเซอร์เคเดียน
ผู้เขียน : ดร. สาทชิน พันดา
ผู้แปล : รัฐพร สมรรถมานะกิจ
สำนักพิมพ์ : ฟรีมายด์
ราคา 350 บาท
ค้นพบ เวลาที่เหมาะสม ในการกิน นอน และออกกำลังกาย เพื่อป้องกันและแก้ไข "โรคเบาหวาน" กับ "ภาวะก่อนเบาหวาน" ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ
แต่เวลาที่เหลือ ถ้าคิดใฝ่ดี ก็ยังเป็นโอกาสให้ปรับเปลี่ยนตัวเองได้ ในการเพิ่มจุดแข็ง แก้จุดอ่อน
ว่าแต่คุณคิดว่ามีประเด็นอะไรที่จำเป็นต้องปรับปรุง หรือขัดเกลาให้แวววาวขึ้น เป็นชีวิตที่มีคุณค่า ดีเพื่อตัวเองและสังคม
เอาล่ะ ผมขอจุดประกายความคิดนำไปก่อน ด้วยการยกเรื่องดี ๆ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 2 หัวข้อ จากหนังสือ “11 เทคนิคเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เป็นคนเรียนเก่ง จำแม่นและได้คะแนนดี”
วิธีสร้างแรงจูงใจให้ตัวเอง
ถ้าเราอยากเรียนให้ดีหรือทำงานให้สำเร็จ ไม่ใช่เพียงมี “ความต้องการ” แต่ยังต้องมี “การทุ่มเท” ที่มากพอ ซึ่งเป็นปัจจัยขององค์ประกอบการเกิดแรงจูงใจให้ทุ่มเท ทำจริง จึงสำเร็จได้
แรงจูงใจนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีติดตัวคนเรา หรือไม่มีติดตัวก็ตาม แรงจูงใจนั้น สร้างได้ เพิ่มพูนได้ และรักษาไว้กับตัวได้ โดยใช้เทคนิคที่ต่างกันไป
วิธีสร้างและรักษาแรงจูงใจ
1.ค้นหาคุณค่าในสิ่งที่ทำ
เริ่มต้นที่การมีทัศนคติ คิดบวก เพื่อให้เกิดแรงจูงใจ เช่นเปลี่ยนมุมมองจากการที่นักศึกษาไปทำงานพิเศษในวันหยุด ด้วยการล้างจานในร้านอาหาร ลองคิดดูมา การทำงานในห้องครัวที่ร้อนอบอ้าว เมื่อเทียบกับการเข้าห้องเรียนก็ ดีกว่า ในสำหรับคนสู้งานและสู้การเรียน ก็พร้อมเลือกทั้ง 2 อย่าง
การเปลี่ยนทัศนคติใหม่ให้กับงานที่กำลังทำ หรือสิ่งที่ต้องรับมือ เช่น หาข้อดีต่าง ๆ ที่ได้รับ เมื่อแจกแจงเหตุผลแล้ว ไอเดียที่ไม่เคยคิดก็อาจจะผุดขึ้น
หรือตั้งรางวัลแบบง่าย ๆ เช่น ไม่ทำงานส่วนหนึ่งสำเร็จ ได้หยุดพักสั้นๆ ฟังเพลง หรือดูทีวีรายการโปรด ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนสะสมคุณค่าไปสู่แรงจูงใจ
2.ฝึกฝนเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญ
การรู้สึกว่าได้ทำงานที่เชี่ยวชาญ คือแรงจูงใจที่มีพลัง หากเจองานยาก ให้แบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย ก็จูงใจให้เดือนหน้าได้
3.ตั้งเป้าหมาย กำหนดสิ่งที่ต้องการ
การตั้งเป้าหมายคือเครื่องมือสร้างแรงจูงใจที่ดีมาก มี 3 รูปแบบ
1) เป้าหมายระยะยาว (Long-Term Goal)ควรเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น และทำให้คุณรู้สึกดี เช่น
วันหนึ่งฉันจะเป็นหมอ
วันหนึ่งฉันจะเดินทางรอบโลก
ฉันจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
แล้วนำรูปภาพของสิ่งที่เป็นตัวแทนของเป้าหมาย มาไว้ใกล้ตาและมองเห็นชัด จะกระตุ้นเตือนให้คุณมีแรงจูงใจ ที่จะมุ่งมั่นก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้
2) เป้าหมายแต่ละขั้นความสำเร็จ (Milestone Goal)
เป้าหมายระยะยาวจะได้แรงเกื้อหนุนจากเป้าหมายแต่ละขั้นความสำเร็จ ที่เปรียบเสมือนเป็นแต่ละย่างก้าว ที่คุณเดินไปบนเส้นทางสู่เป้าหมายระยะยาว
3) เป้าหมายในการปฏิบัติ ( Process Goal)
เป้าหมายแต่ละขั้นตอนความสำเร็จ ก็เป็นแรงหนุนจากเป้าหมายในการปฏิบัติ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้บรรลุเป้าหมายแต่ละขั้นความสำเร็จ เช่น
ทบทวนวิชาเลข 1 ชั่วโมง ทุกวัน
ท่องคำศัพท์ใหม่ 10 คำ ทุกวัน
การกำหนดเป้าหมายจะช่วยกระตุ้นให้มีแรงจูงใจ ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายระยะยาว เป้าหมายแต่ละขั้นตอน และ เป้าหมายในการปฏิบัติ ได้ดี
การกำหนดเป้าหมายนั้นควรจะมีคุณสมบัติโดยย่อว่า SMART ได้แก่
Specific : เฉพาะเจาะจง
Measurable : วัดผลได้
Ambitious : มุ่งมั่น
Realistic : ทำได้จริง
Time-Limited : มีกำหนดเวลา
วิธีสร้างวินัยให้ตัวเอง
ทีโอดอร์ รูสเวลต์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ เชื่อว่ากุญแจสู่ความสำเร็จคือ การมีวินัยในตัวเอง สำคัญมากกว่าการมีพรสวรรค์ มีการศึกษาและความฉลาด ดังนั้น ถ้าต้องการเสริมสร้างหรือเพิ่มวินัยในตัวเอง ก็ต้องคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้
วินัยในตนเองเป็นเรื่องท้าทาย
นี่คือความสามารถควบคุมตนเองได้ รู้จักยับยั้งชั่งใจ หรือห้ามใจไม่ทำตามสิ่งยั่วยุจากผู้อื่น และฝ่าฟันอุปสรรคจนทำงานให้สำเร็จได้ตามเป้าหมาย
มีงานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า ผู้มีวินัยในตนเองจะมีความสุข ร่างกายแข็งแรง มีฐานะร่ำรวย ไม่ค่อยมีปัญหาในชีวิต และเรียนเกรดดีกว่าผู้ไม่มีวินัยในตนเอง
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีวินัยในตนเอง และทำอะไรตามใจชอบ เป็นคนมักจะผัดวันประกันพรุ่ง ตัดสินใจแบบฉับพลัน ยอมอ่อนข้อให้ตนเอง แล้วก็มารู้สึกเสียดายภายหลัง มาบ่นว่า “รู้งี้…” ก็สายเสียแล้ว
ต้องทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น
เช่น อยากไปยิมเพื่อออกกำลังกายทุกคืนวันพฤหัสบดี แต่มักไม่พร้อมจะออกไป ก็ควรจัดกระเป๋าล่วงหน้า 1 วัน เพื่อง่ายต่อการหยิบออกไปทันที
ถ้าเป็นคนตื่นยาก ให้วางนาฬิกาปลุกไว้คนละฝั่งกับเตียงนอน เพื่อให้คุณปิดเสียงปลุกลำบากขึ้น
หากคุณเป็นคนไม่ค่อยมีวินัยในตนเอง ขอให้ขจัดสิ่งรบกวนหรือสิ่งยั่วยวนใจ หรือความรู้สึกอยากทำตามใจ ให้ออกไปห่าง ๆ
ปรับเปลี่ยนนิสัย
การเปลี่ยนนิสัยต้องใช้เวลาและความมานะพยายาม โดยทั่วไปแล้วใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เมื่อทำซ้ำจะกลายเป็นนิสัย ก็ต้องอาศัยวินัยในตัวเองด้วย นิสัยที่ดีก็จะช่วยให้มีพละกำลัง และรักษาวินัยในตนเองได้ดีต่อไป
วางเป้าหมายและระบุอุปสรรค
การวางแผนว่าจะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร เมื่อมุ่งมั่นทำจริงก็จะสำเร็จตามเป้าหมาย รวมทั้งมีแผนล่วงหน้ารับมือต่ออุปสรรคได้ด้วย
ไม่ลืมพักสมอง
เพื่อไม่ให้ใช้เวลาเรียนหรือทำงานจนติดลม แล้วจะรู้สึกเหนื่อยเกินไป การจัดแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง ทำกิจกรรมสนุกกับคนรักหรือคนสนิท ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อจะได้พักสมองบ้าง
นอกจาก 2 บทที่นำมาแบ่งปันแนวปฏิบัติข้างต้นแล้ว หนังสือ 11 เทคนิคเปลี่ยนแปลงตัวเอง เล่มนี้มีหัวข้อที่น่าสนใจอย่างรอบด้าน วิธีทําให้มีสมาธิจดจ่อและเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่ง วิธีทำให้คิดเร็วและจำเก่ง วิธีอ่านเก่ง วิธีเปลี่ยนตัวเองให้เรียนเก่ง ที่น่าอ่าน ใช้ประโยชน์ดีและไม่เบื่อ
...................................................
ข้อมูลจากหนังสือ 11 เทคนิคเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เป็นคนเรียนเก่ง จำแม่นและได้คะแนนดี
ผู้เขียน Dr.Barbara Oakley, Olav Schewe
ผู้แปล เอกชัย วังประภา
บรรณาธิการ สมชัย เบญจมิตร
สำนักพิมพ์ BEE MEDIA
แนะนำหนังสือ
นับหนึ่งถึงสำเร็จ
ผู้เขียน : กาย ราซ
ผู้แปล : สมสกุล เผ่าจินดามุข
สำนักพิมพ์ : เนชั่นบุคส์
ราคา 350 บาท
เรื่องราวบันดาลใจบนเส้นทางสร้างฝันของคนธรรมดา ๆ ที่ไม่ว่าแต่ละเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร ทุกเส้นทางล้วนมีประสบการณ์ให้เรียนรู้ มีเทคนิคและข้อคิดดี ๆ มากมายที่ทุกคนเก็บเกี่ยวไปใช้ได้
เมื่อบันไดหัก : มองสังคมเหลื่อมล้ำผ่านจิตวิทยา
ผู้เขียน : คีธ เพย์น
ผู้แปล : วิทย์ วิชัยดิษฐ
สำนักพิมพ์ : บุ๊คสเคป
ราคา 345 บาท
กะเทาะเปลือกความเหลื่อมล้ำที่ไม่ใช่เพียงปัญหาเศรษฐกิจ แต่หยั่งรากลึกในชีวิต ความคิด ค่านิยม ไปจนถึงระบบภูมิคุ้มกันและอุดมการณ์ทางการเมือง พร้อมงานวิจัยอ่านสนุกที่จะทลายอคติและมายาคติเกี่ยวกับความจน
สุดยอดทักษะของคนเก่งงาน
ผู้เขียน : Kiyama Hirotasugu
ผู้แปล : อนิษา เกมเผ่าพันธ์
สำนักพิมพ์ : อัมรินท์ How To
ราคา 245 บาท
รวบรวมเทคนิคอ่าน เขียน คิดและสื่อความสำหรับคนที่เริ่มต้นในการทำงาน นี่คือคัมภีร์การทำงานที่ผู้ใฝ่ความก้าวหน้าแบบติดปีกทุกคนต้องอ่าน
แก้เบาหวานด้วยรหัสเซอร์เคเดียน
ผู้เขียน : ดร. สาทชิน พันดา
ผู้แปล : รัฐพร สมรรถมานะกิจ
สำนักพิมพ์ : ฟรีมายด์
ราคา 350 บาท
ค้นพบ เวลาที่เหมาะสม ในการกิน นอน และออกกำลังกาย เพื่อป้องกันและแก้ไข "โรคเบาหวาน" กับ "ภาวะก่อนเบาหวาน" ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ