อาการตาล้า ตาพร่า มองเห็นภาพซ้อน บางครั้งเหมือนมีหมอกบังตาตลอดเวลา เริ่มมีการพูดถึงมากขึ้นทั้งคนวัยทำงาน วัยเรียน ทั้ง ๆ ที่ความผิดปกตินี้มักเกิดกับผู้สูงอายุที่ดวงตาเริ่มเสื่อมตามวัย แต่เป็นเพราะพฤติกรรมการใช้สายตาในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ซึ่งพบว่า คนไทยมากถึง 98% ใช้เวลากับสมาร์ทโฟนตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงก่อนเข้านอน (ที่มา ผศ.ดร.เอกราช บำรุงพืชน์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บรรยายในหัวข้อ "อาหารและโภชนาการสร้างเสริมสุขภาพดวงตา")
ที่น่าเป็นห่วงคือเราให้ความสำคัญกับสุขภาพดวงตาน้อยลง ส่งผลให้สุขภาพดวงตาอ่อนแอลง จนอาจลุกลามไปสู่โรคตาบางโรคที่กว่าจะรู้ตัวก็เกือบจะสายเกินไปที่จะรักษาได้
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสุขภาพดวงตาของเรากำลังมีปัญหา? ในเมื่อสุขภาพตาไม่มีสัญญาณเตือนเหมือนสุขภาพกายที่แสดงออกมาอย่างชัดเจน แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าดวงตาของเราจะไม่เป็นอะไร เพราะส่วนใหญ่แล้วเราจะรู้ว่าสุขภาพดวงตาของเรากำลังย่ำแย่แล้วก็ต่อเมื่อเกิดปัญหาแล้ว เพราะโรคทางตาบางโรคไม่แสดงอาการจนกว่าจะถึงขั้นรุนแรงจนไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้
ใช้ตาไม่พัก ใช้งานหนักๆ ก็มักจะเสื่อมเร็ว
อาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับดวงตา หลังจากที่มีการใช้งานดวงตาเป็นเวลานาน เช่น การจ้องจอโน้ตบุ๊ก การอ่านข่าวจากหน้าจอสมาร์ทโฟน การแชตคุยกับเพื่อนหรือการรับชมวิดีโอสตรีมมิ่งผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตดึกๆ ล้วนแต่เป็นต้นเหตุของความเสื่อมของดวงตา ที่ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพดวงตา ลองมาเช็คกันดูว่า คุณเองเคยมีอาการแปลกๆ เหล่านี้กันบ้างแล้วหรือยัง?
1.ตาพร่า ตามัว
เป็นอาการแปลกๆ ยอดนิยมที่หลายคนเป็นกัน เมื่อการมองเห็นไม่สามารถโฟกัสภาพให้คมชัดได้ เนื่องจากการเพ่งหรือจ้องจอเป็นเวลานานจนทำให้กล้ามเนื้อตาไม่สามารถส่งพลังไปปรับโฟกัสได้ทันที หากอาการตาพร่ามัวไม่รุนแรงมาก อาจสร้างปัญหาให้เพียงแค่ดวงตาจะไม่สามารถโฟกัสภาพนั้นได้ แต่หากอาการตาพร่ามัวเริ่มมีอาการรุนแรงขึ้นอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคต้อกระจก ต้อหิน ได้
2.เห็นภาพซ้อน
การมองวัตถุเพียงชิ้นเดียวแต่มองเห็นเป็น 2 ชิ้น บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย ซึ่งการเห็นภาพซ้อนขึ้นมาจากวัตถุเพียงชิ้นเดียวนี้ มีความเป็นไปได้ว่า สาเหตุเกิดจากดวงตาเกิดความผิดปกติขึ้น เช่น สายตาเอียง หรือเป็นโรคต้อกระจกในระยะต้นๆ ได้
3.ปวดตา ปวดหัว
อาการปวดตาที่มักมาพร้อมอาการปวดศีรษะ มักเกิดขึ้นในเวลาที่ต้องใช้สายตาทำงาน เพ่งหรือจ้องบางสิ่งในระยะใกล้ๆ เช่น การใช้สายตาเพ่งหรือจ้องเพื่ออ่านหนังสือ ทำงานที่ต้องใช้สายตาในระยะใกล้มากๆ แม้กระทั่งเด็กๆ ที่อ่านหนังสือข้ามคืนข้ามวัน รวมไปถึงคนวัย 35 - 40+ ที่ค่าสายตาเริ่มเปลี่ยน ทำให้ต้องใช้สายตาเพ่งมากขึ้น แต่เมื่อยิ่งเพ่งยิ่งไม่ชัดก็ยิ่งเกร็งกล้ามเนื้อตาเพื่อให้โฟกัสชัดขึ้น อาจทำให้มีอาการปวดซึ่งจะเกิดขึ้นที่กระบอกตาและปวดร้าวลงไปถึงท้ายทอย
4.ตาแห้ง แสบตา
เป็นภาวะที่น้ำตาที่หล่อเลี้ยงผิวตาผลิตออกมาน้อยหรือระเหยมากไป ทำให้ผิวตาขาดความชุ่มชื้น แห้ง รู้สึกฝืดตา แสบตา ระคายเคืองเหมือนมีเศษฝุ่นเข้าตา และหากปล่อยให้อาการรุนแรงขึ้นอาจส่งผลให้การมองเห็นภาพมัว ไม่ชัดเจนร่วมด้วย หากปล่อยให้ตาแห้งเรื้อรัง อาจเสี่ยงเกิดการอักเสบของกระจกตาได้
เสื่อมแล้ว โรคตามักมาเร็ว
ตามธรรมชาติแล้ว สุขภาพดวงตาของคนเรานั้นจะค่อยเสื่อมลงตามอายุที่มากขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคตาบางโรคตามมา โดยคนที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มักพบความเสื่อมมากว่าคนที่อายุน้อยกว่า แต่ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตทุกวันนี้ ที่เราใช้เวลาอยู่หน้าจอเกือบจะตลอดเวลาการใช้สายตานานๆ โดยแทบไม่ได้หยุดพักสายตาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการจ้องหน้าจอทำงานในวัยทำงาน การอ่านหนังสือ หรือดูหน้าจอในห้องมืดหรือแสงสว่างไม่เพียงพอ เป็นตัวการสำคัญที่เร่งทำให้สุขภาพดวงตาเสื่อมโทรมลง ส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติไปจากเดิม ตามมาด้วยโรคทางตาบางโรคที่อาจไม่ส่งสัญญาณเตือนให้รู้ตัวก่อน แต่แสดงอาการออกมาเมื่อความรุนแรงของโรคเกินที่จะรักษาได้แล้ว จะมีโรคอะไรบ้าง มาเช็กกัน
1.เลนส์แก้วตาเสื่อม...เสี่ยงโรคต้อกระจก
เป็นโรคที่เกิดจากเลนส์แก้วตาเสื่อมสภาพทำให้เห็นภาพมัว ไม่ชัดเจน เนื่องจากแสงไม่สามารถส่งผ่านไปยังประสาทตาได้เต็มที่ ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน หรือที่เรียกว่า ตามัว มองเห็นไม่ชัด เบลอ
2.ขั้วประสาทตาเสื่อม...เสี่ยงโรคต้อหิน
ต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของขั้วประสาทตาที่เป็นผลมาจากความผิดปกติของความดันภายในลูกตาที่เพิ่มสูงขึ้นจนไปกดทับประสาทตา ทำให้ประสาทตาเสื่อม การมองเห็นก็จะพร่ามัวลงจนถึงขึ้นสูญเสียการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นลดลงจนถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นในที่สุด
3.แสงสีฟ้าหน้าจอ...เสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อมและ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม
จอประสาทตาเสื่อมเกิดจากความเสื่อมบริเวณส่วนกลางจอรับภาพของจอประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นไป โดยทั่วไปแล้วมักจะเกิดกับผู้สูงอายุเนื่องจากเป็นการเสื่อมตามช่วงอายุ แต่ปัจจุบันพบว่าคนที่นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานติดต่อกัน กลับเป็นกลุ่มที่เสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากแสงสีฟ้าจากหน้าจอต่างๆ ที่เข้าไปทำลายจอรับภาพในจอประสาทตา ทำให้การมองเห็นขาดความคมชัดลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้เช่นกัน
4.จ้องจอนาน วุ้นตาเสื่อม...เสี่ยงโรควุ้นในตาเสื่อม
จุดดำๆ หรือเส้นใยบางๆ คล้ายหยากใยที่ลอยไปลอยมาในตา และมักจะหายไปเมื่อเราจ้องมอง คือสัญญาณเตือนว่า คุณอาจเสี่ยงเป็นโรควุ้นในตาเสื่อม ทั่วไปแล้ววุ้นในตาเสื่อมนั้นเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุเนื่องจากวุ้นตาเริ่มเสื่อมสภาพตามวัย แต่ในวัยทำงาน สาเหตุที่ทำให้วุ้นตาเสื่อมเร็วก่อนเวลา นั้นมาจากพฤติกรรมการใช้สายตา การจ้องจอเป็นเวลานานๆ หรือการอ่าน ดู หรือใช้สายตาในที่แสงสว่างน้อย ทำให้เราต้องเพ่งสายตามากขึ้น ส่งผลให้วุ้นตาเสื่อมเร็วขึ้น และหากปล่อยเอาไว้โดยไม่หาทางชะลอหรือรักษาอาการ อาจนำไปสู่ภาวะจอตาหลุด สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ หากวุ้นตาในส่วนที่อยู่รอบๆ จอตาหลุดลอกออกมา
ไม่ปล่อยให้เสื่อม เสริมให้แข็งแรง ลดเสี่ยงโรคตา โรคต้อ
มาถึงตรงนี้ พอจะเห็นแล้วว่า อาการหรือโรคตาที่เกิดขึ้น มักมาจากความเสื่อมถอยของสุขภาพดวงตาเป็นหลัก แต่ถ้าการเสื่อมนั้นไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติหรือตามวัย แต่เป็นความเสื่อมจากพฤติกรรมที่ละเลยการดูแลสุขภาพดวงตา ส่งผลกระทบต่อดวงตาโดยตรง โดยเฉพาะคนที่ต้องใช้สายตาเป็นเวลานานๆ เช่น พนักงานออฟฟิศที่ต้องจ้องจอมอนิเตอร์ทำงาน นักเรียน นักศึกษาที่อ่านหนังสือเตรียมสอบ ยิ่งเราละเลย ไม่ดูแลใส่ใจให้ความสำคัญกับสุขภาพดวงตา จากเรื่องเล็กน่ารำคาญอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ ยากต่อการแก้ไขได้
การเพิ่มการบำรุงด้วยสารอาหารที่มาช่วยดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงการเกิดโรคและความผิดปกติกับดวงนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพดวงตาให้แข็งแรง ชะลอความเสื่อมก่อนเวลา นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตาที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว การบำรุงดวงตาด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ยังช่วยยืดอายุการทำงานดวงตาให้อยู่กับเราไปอีกนานๆ ซึ่งสารอาหารบำรุงดวงตาที่ควรหามารับประทานควบคู่ไปกับอาหารหลักอื่นๆ ให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่
1.ลูทีน...กรองแสงสีฟ้า ปกป้องจอประสาทตา
เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์เช่นเดียวกับ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) พบได้ในเลนส์ตาและจอประสาทตา โดยเฉพาะที่จุดรับภาพชัด คอยทำหน้าที่คล้ายแว่นกรองแสงสีน้ำเงินให้กับจอประสาทตา บำรุงดวงตา ช่วยลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม พบได้มากจากผักใบเขียวชนิดต่างๆ เช่น ผักคะน้า ผักปวยเล้ง ผักกาดแก้ว บร็อคโคลี่ ข้าวโพด ถั่วลันเตา กะหล่ำแขนง
2.บิลเบอร์รี่...เสริมประสิทธิภาพการมองเห็น
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีแอนโธไซยานิน สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผนังหลอดเลือดโดยเฉพาะหลอดเลือดฝอยบริเวณรอบๆ ดวงตาแข็งแรง ช่วยเพิ่มการไหลเวียนในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา สารแทนนินที่พบในบิลเบอร์รี่ยังช่วยลดการอักเสบ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ดวงตาได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธภาพการมองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก ลดอาการล้าของดวงตาจากการใช้งานเป็นเวลานาน
3.เบต้าแคโรทีน...ชะลอความเสื่อมดวงตา
ร่างกายจะได้รับเบต้าแคโรทีนจากผักและผลไม้ที่ให้สีเหลือง สีส้มหรือแดง เช่น ฟักทอง แครอท มะละกอ ผักใบเขียวชนิดต่างๆ จากนั้นเบต้าแคโรทีน จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งร่างกายนำไปใช้สร้างสารโรดอปซินในจอประสาทตา ทำให้ตาสามารถมองเห็นในที่มืดได้ดีขึ้น และยังลดความเสื่อมของเซลล์ลูกตา เยื่อบุตา กระจกตา ลดความเป็นเสี่ยงเป็นต้อกระจกด้วย
4.แอสตาแซนทีน...ลดอาการตาล้าจากการจ้องจอ
สารอาหารบำรุงดวงตาที่อยู่ในกลุ่มของแคโรทีนอยด์สีแดง พบได้ในสัตว์ทะเลเนื้อสีแดง เช่น แซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้ง-ปู ช่วยลดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตาจากการใช้สายตาเป็นเวลานาน และยังช่วยปรับกล้ามเนื้อเลนส์ตาทำให้มองเห็นภาพได้ชัดขึ้น
5. น้ำมันปลา...ลดภาวะตาแห้ง
Omega-3 ในน้ำมันปลาจะเข้าไปช่วยให้ต่อมไขมันที่เปลือกตาผลิตไขมันออกมาเคลือบชั้นของน้ำตา ป้องกันน้ำตาระเหยเร็ว ดวงตาจึงยังคงชุ่มชื้น (ที่มา https://bit.ly/34w3r8P) นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกว่า Omega-3 ในน้ำมันปลายังช่วยลดการระคายเคืองตา ลดการอักเสบ จากอาการตาแห้งได้อีกด้วย นั่นเท่ากับว่า Omega-3 มีส่วนช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้
เพราะดวงตา มีบทบาทสำคัญกับการใช้ชีวิตประจำวัน อย่าปล่อยให้สุขภาพดวงตาอ่อนแอจนส่งผลกระทบต่อดวงตาและการมองเห็น ถ้าวันหนึ่งเราสูญเสียการมองเห็นไปแล้ว จะไม่สามารถเรียกคืนได้ หมั่นดูแลสุขภาพดวงตา เพื่อยืดอายุประสิทธิภาพการทำงานของดวงตา ชะลอความเสื่อมก่อนเวลาอันควร จึงเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจเสียตั้งแต่เนิ่น แล้วเสริมความแข็งแรงให้กับสุขภาพดวงตาด้วย สารอาหารบำรุงดวงตาบิลเบอร์รี่สกัดผสมลูทีนและเบต้าแคโรทีนธรรมชาติจาก MEGA WE CARE
ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก
(พื้นที่ประชาสัมพันธ์)