xs
xsm
sm
md
lg

“น้ำผึ้ง” หวานดีมีประโยชน์ แต่กินแค่ไหนถึงจะดี?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

“น้ำผึ้ง” ถือเป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย ช่วยต้านทานโรคต่างๆ ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นช่วยรักษาโรคตับ บำรุงหัวใจ รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก บรรเทาอาการท้องเสีย บรรเทาอาการไอ แก้เจ็บคอ ช่วยรักษาแผลให้แผลหายไว ช่วยบำรุงเลือด และสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย

อีกทั้ง “น้ำผึ้ง” ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ทั้งฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม โซเดียม แมงกานีส สังกะสี เหล็ก และทองแดง ซึ่งน้ำผึ้งเป็นทางเลือกที่ใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปสร้างพลังงานได้ทันที ที่สำคัญน้ำผึ้งยังมีสรรพคุณทางยาที่ดีต่อร่างกาย และสรรพคุณต่อด้านความสวยความงามอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมีประโยชน์ก็ใช่ว่าจะไม่มีโทษ แล้วใครบ้างที่ไม่ควรกิน หรือกินแค่ไหนถึงจะดี?

สรรพคุณทางยาของน้ำผึ้ง

-ช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ หากใครนอนไม่หลับเพียงชงน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น ดื่มก่อนนอนหรือกินน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ก่อนเข้านอนสัก 30 นาที จะช่วยให้หลับสบายขึ้น

-ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ลดกรดในกระเพาะ โดยให้กินน้ำผึ้งก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง อาจนำมาผสมกับน้ำอุ่นดื่ม ซึ่งจะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร ทำให้กรดในกระเพาะอาหารเจือจาง ลดการระคายเคืองได้


- ช่วยรักษาอาการท้องผูก โดยให้กินน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ก่อนนอนเป็นประจำทุกวันจะช่วยอาการดังกล่าวได้

นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังช่วยรักษาโรคตับ บำรุงหัวใจ รักษาโรคความดันโลหิตสูง รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก บรรเทาอาการท้องเสีย บรรเทาอาการไอ แก้เจ็บคอ ช่วยรักษาแผลให้แผลหายไว ช่วยบำรุงเลือด และสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย

สรรพคุณของน้ำผึ้งต่อความสวยความงาม

น้ำผึ้งมีประโยชน์ในการบำรุงผิวพรรณ มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันผิวจากการทำลายของรังสียูวี ช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ให้แก่ผิวหนัง อีกทั้งยังมีสารที่ให้ความชุ่มชื่นที่ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่ม และช่วยต่อต้านแบคทีเรียอีกด้วย เหตุนี้เองจึงนิยมนำมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ และนอกจากผิวพรรณแล้วน้ำผึ้งยังสามารถบำรุงเส้นผม และเล็บได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการรับประทานน้ำผึ้ง

1.ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน เพราะน้ำผึ้งมีปริมาณกลูโคส และฟรักโทสที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทันที โดยจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว
2.ผู้ที่มีอาการอาหารไม่ย่อย และอาเจียนบ่อยๆ
3.ผู้ที่ถ่ายเหลวหรือท้องเสีย เพราะน้ำผึ้งจะทำให้ถ่ายอุจจาระมากขึ้น
4.ผู้ที่แพ้เกสรดอกไม้ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานน้ำผึ้งที่ผลิตมาจากเกสรดอกไม้ด้วยเช่นกัน
5.การรับประทานน้ำผึ้งอาจไม่ปลอดภัยต่อทารกและเด็กที่ยังเล็กอยู่มาก ดังนั้นไม่ควรให้เด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบรับประทานน้ำผึ้ง เพราะในน้ำผึ้งอาจมีสปอร์ของเชื้อคลอสตริเดียมโบทูลินัม ปนเปื้อนอยู่ ซึ่งเชื้อนี้จะเจริญเติบโตได้ ในทางเดินอาหารของเด็กเล็ก ทำให้เกิดสารพิษที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ กรณีดังกล่าวนี้แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ระมัดระวังป้องกันไว้ก่อนย่อมปลอดภัยกว่า

ทั้งนี้ ห้ามรับประทานในปริมาณมาก โดยเฉลี่ยแล้วควรรับประทานไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 2 ช้อนโต๊ะ หรือไม่ควรเกิน 10 ช้อนชาต่อวัน




กำลังโหลดความคิดเห็น