xs
xsm
sm
md
lg

เตือน! แผล “ซิฟิลิส” ทำให้ติดหรือส่งต่อเชื้อ HIV ได้ง่าย!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

By : Pharmchompoo
ช่วงนี้อาจได้ยินข่าวเรื่องการพบผู้ป่วยซิฟิลิสเพิ่มสูงขึ้น ที่น่ากังวลคือพบผู้ป่วยในกลุ่มที่อายุน้อยลง นั่นคือ วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น และมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ซึ่งนำมาทั้งปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์

จากชุดข้อมูลการติดตามสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของกลุ่มเทคโนโลยีระบบข้อมูลและพัฒนานโยบายระหว่างประเทศ ที่อ้างข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ให้ภาพของการเพิ่มจำนวนของอัตราป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในไทย จากปีงบประมาณ 2555 - 2560 เฉพาะซิฟิลิสพบว่าจาก 11.7 เป็น 15.8 ต่อประชากรแสนคน เมื่อเจาะลงไปที่กลุ่มอายุ 15-24 ปี พบว่าเพิ่มขึ้นจาก 41.7 เป็น 66.6 ต่อประชากรแสนคน เมื่อมองไปที่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ พบว่าเป็นไปในทำนองเดียวกัน

ปัญหาการติดเชื้อซิฟิลิสเป็นตัวสะท้อนปัญหาที่อยู่เบื้องล่างให้เห็นถึง “ความเสี่ยง” ของเยาวชนที่มีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นและเป็นเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ทั้ง ๆ ที่ในปัจจุบันเรามีสื่อรณรงค์มากขึ้นให้เห็นถึงปัญหาของการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ หรือปัญหาของโรคติดเชื้อ HIV/AIDS

ในรายละเอียดของโรคนั้น ซิฟิลิสสามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับแผลซิฟิลิสที่อยู่บริเวณต่างๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก ทวารหนัก ช่องคลอดของผู้ที่ติดเชื้อ การติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกสามารถเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีการติดเชื้อในกรณีการใช้ห้องน้ำร่วมกัน สระว่ายน้ำ อ่างอาบน้ำ ระยะของโรคมีหลายระยะ บางคนมีการติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการเป็นปีก็มี (แต่หากไปตรวจเลือดเพื่อหาการติดเชื้อซิฟิลิส จะตรวจพบได้) แต่จะเป็นการติดเชื้อแบบแฝงซึ่งสามารถเข้าสู่ระยะต่อไปของโรคได้และเกิดอันตรายร้ายแรงได้ถ้าไม่ได้รับการรักษา

ความสัมพันธ์ระหว่างซิฟิลิสกับ HIV / AIDS นั้น พบว่าการมีแผลซิฟิลิสจะทำให้มีการติดเชื้อหรือส่งต่อเชื้อ HIV ได้ง่ายขึ้น เพราะมีการส่งผ่านของเชื้อตามรอยถลอก บาดแผลที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นการติดเชื้อซิฟิลิสเป็นตัวบ่ง (marker) ว่าบุคคลนั้นมีพฤติกรรมเสี่ยง หรือผ่านการมีเพศสัมพันธ์แบบไมได้ป้องกันมา ซึ่งอาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้ออื่นๆ นอกจากซิฟิลิสมาด้วย

ในข่าวร้ายย่อมมีข่าวดี ซิฟิลิสเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาฆ่าเชื้อกลุ่มเพนิซิลลิน ดอกซี่ไซคลิน แต่การรักษาจำเป็นต้องรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และจำเป็นที่จะต้องตรวจหาการติดเชื้ออื่น ๆ รวมทั้งการติดตามรักษาไปถึงผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพื่อป้องกันการกระจายของโรค ประการหนึ่งที่ต้องทราบคือ ซิฟิลิสเป็นโรคที่สามารถติดเชื้อซ้ำได้ แม้รักษาหายแล้วก็ตาม การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยเป็นความจำเป็นเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระยะยาว
อ้างอิง:
http://www.rtcog.or.th/en/wp-content/uploads/2017/05/articlesfile_098713.pdf
http://e-library-aidssti.ddc.moph.go.th/lib/pdf/59535bb7af3b8.pdf
http://e-lib.ddc.moph.go.th/pdf/jacket%20283/jacket%20283.pdf


กำลังโหลดความคิดเห็น