เคยปล่อยตัวน้ำหนักสูงถึง 106 กิโลกรัม ทำให้ทำอะไรก็ไม่สะดวก ไม่สบายตัว อึดอัด และกลัวเป็นโรค จนได้คุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจ จึงเริ่มต้นลดน้ำหนักด้วยการวิ่ง กระทั่งเขาพาตัวเองก้าวไปถึงนักวิ่งระดับฮาล์ฟมาราธอน ด้วยความเร็ว PACE 4 ได้สำเร็จ
“ดุสิต คานิโยว” ชายวัย 30 ปีต้นๆ ที่ออกวิ่งเพราะตั้งใจอยากลดน้ำหนัก จนมาเป็นนักวิ่งระดับฮาล์ฟมาราธอน และมีเป้าหมายไปถึงการวิ่งฟูลมาราธอน ระยะทาง 42 กิโลเมตร ตอนนี้ตัวเขากำลังเฝ้าฝึกฝนร่างกาย เตรียมตัวให้พร้อมสู่การวิ่ง ...วันนี้เขาหลงรักการวิ่งไปแล้วโดยปริยาย เพราะการวิ่งที่ผ่านได้ทั้งความสนุก ท้าทาย และสุขภาพดี

106 กิโลกรัมกับเส้นทางนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอน
ผมเริ่มวิ่งเมื่อปี ค.ศ. 2017 ครับ เป้าหมายแรกที่วิ่งคือ ตั้งใจวิ่งเพื่อลดน้ำหนักอย่างเดียวเลย โดยผมได้แรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อผมเห็นคุณพ่ออายุเยอะแล้วแต่ก็ยังออกไปออกกำลังกาย ผมก็เลยอยากจะลดน้ำหนักดูบ้าง เลยออกมาวิ่ง
ตอนนั้นน้ำหนักผมเยอะสุดคือ 106 กิโลกรัม เรื่องสุขภาพอย่างอื่นยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมกลัวจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดัน แต่ก็ไปตรวจสุขภาพอยู่เรื่อยๆ นะครับ ก็ยังไม่เป็น ยังไม่มีโรคประจำตัวอะไร แต่ว่ารูปร่างเรามันเปลี่ยนเร็วมากจนน่าตกใจ ผมรู้สึกขี้เกียจ ไม่สบายตัว อึดอัด ทำอะไรไม่สะดวก
วิ่งแรกๆ ท้อมากครับ มันเหนื่อย น้ำหนักตัวเราเยอะทำให้วิ่งไม่ออก แต่ที่ผมผ่านจุดนั้นมาได้เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะลดน้ำหนักครับ เราตั้งใจจริงๆ เราก็เลยพยายาม ที่จริงผมตั้งใจจะลดลงน้ำหนักลงมาให้ได้สัก 80 กิโลกรัม ถ้าทำได้แค่นั้นก็ดีใจแล้ว แต่ว่าพอทำไปเรื่อยๆ เราได้เห็นความสำเร็จก็เลยไปต่อ ไม่ได้หยุด
กำลังใจส่วนใหญ่ของผมมาจากที่บ้านเลยนะครับ เขาสนับสนุนให้ผมออกไปวิ่ง ให้ออกไปออกกำลังกาย ให้เวลาส่วนตัวกับผม บางทีก็มาเฝ้าร้านให้ ผมเลยจะมีเวลาว่างในการวิ่งเยอะหน่อย
ช่วงที่ลดน้ำหนักปีแรก ผมจะไปวิ่ง 4-5 วันต่อสัปดาห์ ส่วนเรื่องอาหารก็ไม่ถึงกับกินคลีน แต่จะงดของทอด ของมัน ของหวาน น้ำอัดลม ผมลดหมดเลย กาแฟปั่นอะไรก็ไม่ดื่ม จะดื่มกาแฟดำแทน ผมใช้เวลา 1 ปีเต็ม ที่งดกินของเหล่านี้ แรกๆ ก็ฝืนนะครับ แต่เราก็อดทนมาได้ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ

เข้าสู่วงการแข่งวิ่งด้วยความตั้งใจของตัวเอง
หลังจากที่ผมลดน้ำหนักได้สำเร็จ ผมก็เริ่มคิดว่าไม่อยากวิ่งทิ้งไมล์ ทิ้งกิโลเมตรไปเปล่าๆ แล้วก็อยากจะไปลองดูว่าบรรยากาศของงานวิ่งเป็นยังไง ถ้าเราไปวิ่งด้วยความตั้งใจ ด้วยความเร็วของเรา เราจะทำสถิติได้เท่าไหร่ คืออยากมีสถิติเป็นของตัวเอง อยากแข่งกับตัวเอง สถิติตอนนั้นของผมอยู่ที่ 10 กิโลเมตร ประมาณ 45 นาที
งานวิ่งครั้งแรก ผมไปกับลูกพี่ลูกน้องครับ เขาไม่ได้เป็นนักวิ่งแต่มีเพื่อนๆ ที่อยู่ในวงการวิ่ง เขาวิ่งกันอยู่ เราเลยมาลองดู พอได้ลองก็ค่อนข้างสนุกกับงาน เพราะเขาจัดเช้า อากาศเลยไม่ร้อน แล้วก็ได้เจอนักวิ่งเยอะแยะเลย เรามีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยครับ พอได้ไปแล้วอยากพัฒนาตัวเอง เพราะเราได้เจอแต่คนเก่งๆ ชำนาญ เราก็อยากลองดูบ้าง
หลังจากนั้นมาในปี ค.ศ. 2018 ผมลงงานวิ่งเดือนละงาน มินิมาราธอน 10 กิโลเมตร ลงไป 11 งาน สิ้นปี ค.ศ. 2018 ผมไปลงงานฮาล์ฟมาราธอน 21 กิโลเมตรมาแล้ว
ตอนนี้ผมวิ่งมาเข้าปีที่ 3 แล้วครับ คิดว่าจะสะสม 21 กิโลเมตร ให้ได้เยอะหน่อย แล้วค่อยข้ามไปฟูลมาราธอน 42 กิโลเมตร เพราะตอนนี้เรื่องความเร็วของผมว่ามันคงที่แล้ว วิ่งได้อยู่ที่ PACE 4 กว่าๆ
วางแผนสู่เส้นทาง 42 กิโลเมตร ฟลูมาราธอน
เป้าหมายต่อไปคือ อยากเน้นที่ระยะ 42 กิโลเมตรครับ ผมอยากไปให้ถึงระดับฟูลมาราธอน ซึ่งการเตรียมตัวผมซ้อมอยู่สัปดาห์ละ 5 วัน ลงงานวิ่ง 21 กิโลเมตรด้วย และผมจะเพิ่มระยะการวิ่งไปเรื่อยๆ เพื่อฝึกร่างกาย
ส่วนใหญ่ผมจะไม่ซ้อมในยิม ผมจะชอบซ้อมในสวนมากกว่า เพราะได้เจอคนนั้นคนนี้ เราก็จะได้คำแนะนำจากนักวิ่งด้วยกัน สวนที่ผมไปซ้อมบ่อยก็ที่สวนรมณีนาถ หรือไม่ก็สวนลุมพินีครับ
เรื่องอาหารตอนนี้ผมกินปกติแล้ว อาจจะมี Cheat Day บ้าง สัปดาห์ละครั้ง แต่จะเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง เราออกไปวิ่งก็จะกินคาร์โบไฮเดรตกับโปรตีนสูงหน่อย เพราะว่าไม่อยากให้น้ำหนักลงแล้ว ซึ่งตอนนี้ผมสูง 173 เซนติเมตร หนัก 63 กิโลกรัม ก็ถือพอดีแล้วครับกับอายุ 33 ปี

การวิ่งให้อะไรมากกว่าสุขภาพดี
การวิ่งให้อะไรผมหลายอย่างเลยนะครับ อย่างแรกเลยก็คือ สุขภาพดี ผมได้ไปเช็กร่างกายมาซึ่งก็ถือว่าโอเคเลย
อย่างที่ 2 การออกกำลังกายทำให้เราใช้เวลาว่างเป็นประโยชน์ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง อย่างเวลาออกไปวิ่งครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้งอาบน้ำด้วยอะไรด้วย คือเราได้ใช้ชีวิตของตัวเอง เวลาผมออกไปวิ่งผมจะไม่พกมือถือ ไม่พกอะไรที่เกี่ยวกับโซเซียลฯ ไปเลย ขอเวลาเป็นส่วนตัว 2 ชั่วโมง ซึ่งผมชอบนะ สงบดี ไม่วุ่นวายดี ทำให้เราคิดอะไรได้มากขึ้น ได้ทบทวนอะไรๆ ได้มากขึ้นครับ
จริงๆ การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้สุขภาพดีแล้ว ยังทำให้จิตใจดี ทุกอย่างดี ห่างไกลโรคภัยได้ด้วย ผมจะบอกว่าการลดน้ำหนักอยู่ที่ใจนะครับ ก่อนอื่นต้องจริงจังก่อน ไม่มีหรอกครับ คำว่า “ทำไม่ได้” คุณต้องมุ่งมั่น เพราะการลดน้ำหนักไม่ได้ใช้เวลาแค่ 1-2 เดือน เหมือนกินยา ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ อย่าไปท้อ อาจจะใช้เวลาสักหน่อย 6 เดือนแรกอาจจะเห็นผลช้า แต่ถ้าทำได้ระยะยาว รับรองผลออกมาดีแน่นอนครับ

เรื่อง : ศศิธร ตะนัยสี
ภาพ : เฟซบุ๊ก Dusit Khanijou
“ดุสิต คานิโยว” ชายวัย 30 ปีต้นๆ ที่ออกวิ่งเพราะตั้งใจอยากลดน้ำหนัก จนมาเป็นนักวิ่งระดับฮาล์ฟมาราธอน และมีเป้าหมายไปถึงการวิ่งฟูลมาราธอน ระยะทาง 42 กิโลเมตร ตอนนี้ตัวเขากำลังเฝ้าฝึกฝนร่างกาย เตรียมตัวให้พร้อมสู่การวิ่ง ...วันนี้เขาหลงรักการวิ่งไปแล้วโดยปริยาย เพราะการวิ่งที่ผ่านได้ทั้งความสนุก ท้าทาย และสุขภาพดี
106 กิโลกรัมกับเส้นทางนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอน
ผมเริ่มวิ่งเมื่อปี ค.ศ. 2017 ครับ เป้าหมายแรกที่วิ่งคือ ตั้งใจวิ่งเพื่อลดน้ำหนักอย่างเดียวเลย โดยผมได้แรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อผมเห็นคุณพ่ออายุเยอะแล้วแต่ก็ยังออกไปออกกำลังกาย ผมก็เลยอยากจะลดน้ำหนักดูบ้าง เลยออกมาวิ่ง
ตอนนั้นน้ำหนักผมเยอะสุดคือ 106 กิโลกรัม เรื่องสุขภาพอย่างอื่นยังไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมกลัวจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดัน แต่ก็ไปตรวจสุขภาพอยู่เรื่อยๆ นะครับ ก็ยังไม่เป็น ยังไม่มีโรคประจำตัวอะไร แต่ว่ารูปร่างเรามันเปลี่ยนเร็วมากจนน่าตกใจ ผมรู้สึกขี้เกียจ ไม่สบายตัว อึดอัด ทำอะไรไม่สะดวก
วิ่งแรกๆ ท้อมากครับ มันเหนื่อย น้ำหนักตัวเราเยอะทำให้วิ่งไม่ออก แต่ที่ผมผ่านจุดนั้นมาได้เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะลดน้ำหนักครับ เราตั้งใจจริงๆ เราก็เลยพยายาม ที่จริงผมตั้งใจจะลดลงน้ำหนักลงมาให้ได้สัก 80 กิโลกรัม ถ้าทำได้แค่นั้นก็ดีใจแล้ว แต่ว่าพอทำไปเรื่อยๆ เราได้เห็นความสำเร็จก็เลยไปต่อ ไม่ได้หยุด
กำลังใจส่วนใหญ่ของผมมาจากที่บ้านเลยนะครับ เขาสนับสนุนให้ผมออกไปวิ่ง ให้ออกไปออกกำลังกาย ให้เวลาส่วนตัวกับผม บางทีก็มาเฝ้าร้านให้ ผมเลยจะมีเวลาว่างในการวิ่งเยอะหน่อย
ช่วงที่ลดน้ำหนักปีแรก ผมจะไปวิ่ง 4-5 วันต่อสัปดาห์ ส่วนเรื่องอาหารก็ไม่ถึงกับกินคลีน แต่จะงดของทอด ของมัน ของหวาน น้ำอัดลม ผมลดหมดเลย กาแฟปั่นอะไรก็ไม่ดื่ม จะดื่มกาแฟดำแทน ผมใช้เวลา 1 ปีเต็ม ที่งดกินของเหล่านี้ แรกๆ ก็ฝืนนะครับ แต่เราก็อดทนมาได้ ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะแล้วครับ
เข้าสู่วงการแข่งวิ่งด้วยความตั้งใจของตัวเอง
หลังจากที่ผมลดน้ำหนักได้สำเร็จ ผมก็เริ่มคิดว่าไม่อยากวิ่งทิ้งไมล์ ทิ้งกิโลเมตรไปเปล่าๆ แล้วก็อยากจะไปลองดูว่าบรรยากาศของงานวิ่งเป็นยังไง ถ้าเราไปวิ่งด้วยความตั้งใจ ด้วยความเร็วของเรา เราจะทำสถิติได้เท่าไหร่ คืออยากมีสถิติเป็นของตัวเอง อยากแข่งกับตัวเอง สถิติตอนนั้นของผมอยู่ที่ 10 กิโลเมตร ประมาณ 45 นาที
งานวิ่งครั้งแรก ผมไปกับลูกพี่ลูกน้องครับ เขาไม่ได้เป็นนักวิ่งแต่มีเพื่อนๆ ที่อยู่ในวงการวิ่ง เขาวิ่งกันอยู่ เราเลยมาลองดู พอได้ลองก็ค่อนข้างสนุกกับงาน เพราะเขาจัดเช้า อากาศเลยไม่ร้อน แล้วก็ได้เจอนักวิ่งเยอะแยะเลย เรามีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยครับ พอได้ไปแล้วอยากพัฒนาตัวเอง เพราะเราได้เจอแต่คนเก่งๆ ชำนาญ เราก็อยากลองดูบ้าง
หลังจากนั้นมาในปี ค.ศ. 2018 ผมลงงานวิ่งเดือนละงาน มินิมาราธอน 10 กิโลเมตร ลงไป 11 งาน สิ้นปี ค.ศ. 2018 ผมไปลงงานฮาล์ฟมาราธอน 21 กิโลเมตรมาแล้ว
ตอนนี้ผมวิ่งมาเข้าปีที่ 3 แล้วครับ คิดว่าจะสะสม 21 กิโลเมตร ให้ได้เยอะหน่อย แล้วค่อยข้ามไปฟูลมาราธอน 42 กิโลเมตร เพราะตอนนี้เรื่องความเร็วของผมว่ามันคงที่แล้ว วิ่งได้อยู่ที่ PACE 4 กว่าๆ
วางแผนสู่เส้นทาง 42 กิโลเมตร ฟลูมาราธอน
เป้าหมายต่อไปคือ อยากเน้นที่ระยะ 42 กิโลเมตรครับ ผมอยากไปให้ถึงระดับฟูลมาราธอน ซึ่งการเตรียมตัวผมซ้อมอยู่สัปดาห์ละ 5 วัน ลงงานวิ่ง 21 กิโลเมตรด้วย และผมจะเพิ่มระยะการวิ่งไปเรื่อยๆ เพื่อฝึกร่างกาย
ส่วนใหญ่ผมจะไม่ซ้อมในยิม ผมจะชอบซ้อมในสวนมากกว่า เพราะได้เจอคนนั้นคนนี้ เราก็จะได้คำแนะนำจากนักวิ่งด้วยกัน สวนที่ผมไปซ้อมบ่อยก็ที่สวนรมณีนาถ หรือไม่ก็สวนลุมพินีครับ
เรื่องอาหารตอนนี้ผมกินปกติแล้ว อาจจะมี Cheat Day บ้าง สัปดาห์ละครั้ง แต่จะเน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง เราออกไปวิ่งก็จะกินคาร์โบไฮเดรตกับโปรตีนสูงหน่อย เพราะว่าไม่อยากให้น้ำหนักลงแล้ว ซึ่งตอนนี้ผมสูง 173 เซนติเมตร หนัก 63 กิโลกรัม ก็ถือพอดีแล้วครับกับอายุ 33 ปี
การวิ่งให้อะไรมากกว่าสุขภาพดี
การวิ่งให้อะไรผมหลายอย่างเลยนะครับ อย่างแรกเลยก็คือ สุขภาพดี ผมได้ไปเช็กร่างกายมาซึ่งก็ถือว่าโอเคเลย
อย่างที่ 2 การออกกำลังกายทำให้เราใช้เวลาว่างเป็นประโยชน์ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง อย่างเวลาออกไปวิ่งครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้งอาบน้ำด้วยอะไรด้วย คือเราได้ใช้ชีวิตของตัวเอง เวลาผมออกไปวิ่งผมจะไม่พกมือถือ ไม่พกอะไรที่เกี่ยวกับโซเซียลฯ ไปเลย ขอเวลาเป็นส่วนตัว 2 ชั่วโมง ซึ่งผมชอบนะ สงบดี ไม่วุ่นวายดี ทำให้เราคิดอะไรได้มากขึ้น ได้ทบทวนอะไรๆ ได้มากขึ้นครับ
จริงๆ การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้สุขภาพดีแล้ว ยังทำให้จิตใจดี ทุกอย่างดี ห่างไกลโรคภัยได้ด้วย ผมจะบอกว่าการลดน้ำหนักอยู่ที่ใจนะครับ ก่อนอื่นต้องจริงจังก่อน ไม่มีหรอกครับ คำว่า “ทำไม่ได้” คุณต้องมุ่งมั่น เพราะการลดน้ำหนักไม่ได้ใช้เวลาแค่ 1-2 เดือน เหมือนกินยา ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ อย่าไปท้อ อาจจะใช้เวลาสักหน่อย 6 เดือนแรกอาจจะเห็นผลช้า แต่ถ้าทำได้ระยะยาว รับรองผลออกมาดีแน่นอนครับ
เรื่อง : ศศิธร ตะนัยสี
ภาพ : เฟซบุ๊ก Dusit Khanijou