อย่างที่ทราบกันดีว่า การออกกำลังกายนั้นสามารถช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น และยิ่งถ้าออกกำลังตามความเหมาะสมกับอายุ-น้ำหนักด้วยแล้วจะมีความเหมาะสมด้วยเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน หากมีสัญญาณดังกล่าวขึ้น ควรที่จะหยุดออกกำลังกายไว้เพื่อที่จะสามารถดูแลและรักษาได้ด้วยตนเองได้ทันท่วงที

1.หน้าซีด หายใจไม่คงที่
อาการนี้เกิดจากชีพจรที่มีการเต้นเร็ว หายใจถี่ มือเท้าเย็น รู้สึกเหมือนจะไม่ได้สติ บางรายอาจจะมีอาการเพ้อ มีอาการเซื่องซึมหรือกระวนกระวาย ส่วนสาเหตุอาจจจะมาจากการขาดออกซิเจนของสมอง ขาดน้ำ ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายไม่สมดุล มีความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมน ทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ หรือมีปัญหาสุขภาพจิต
2.กระดูกผิดรูป ข้อเคลื่อนหลุด หรือขยับบริเวณกระดูกหรือข้อต่อรู้สึกผิดปกติ
อาการนี้จะมีการปวดบริเวณกระดูกหรือข้อหลังจากอุบัติเหตุ มีอาการบวม ฟกช้ำ หรือผิดรูป มาจากสาเหตุ คือ ล้ม ถูกกระแทก ได้รับบาดเจ็บของกระดูกและข้อต่อ ซึ่งก็อยู่ที่ความรุนแรงกับลักษณะอาการบาดเจ็บที่พบเจอมา
3.ใจสั่น เจ็บหน้าอก หายใจติดขัดเหนื่อย
สาเหตุนี้มาจากการเหนื่อยง่ายหรือมากกว่าปกติ อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หายใจไม่อิ่ม มาจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
4.อาการอ่อนแรง กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต
สำหรับอาการเกร็งหรือกระตุกกล้ามเนื้อนั้นจะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อให้เคลื่อนไหว หรือทำงานได้ตามปกติ ตัวอย่างเช่น อาการแขนขาอ่อนแรง ยกอวัยวะจำพวกแขนไม่ขึ้น โดยอาจจะเป็นอาการบ่งชี้ของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงบางชนิด หรือ ALS หรือเกิดความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับสมอง เช่น เส้นเลือดสมองฝ่อหรือแตก โรคไขสันหลังกระดูกต้นคอ และเส้นประสาทต่างๆ ที่ควบคุมกล้ามเนื้อ
5.มีความปวดเรื้อรังหรือมีอาการแย่ลง
ส่วนอาการนี้มีการปวดหลังจากการได้รับบาดเจ็บมาสักระยะหนึ่ง ทั้งที่ได้รับหรือไม่ได้รับการรักษา มีอาการเป็นซ้ำหรือรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมแบบเดิม เช่น เจ็บข้อเท้าขณะวิ่ง เมื่อหยุดวิ่งอาการจะหายไป แล้วถ้ากลับมาวิ่งอาการก็มาเหมือนเดิม เป็นต้น อาจเกิดจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับการดูแลไม่ถูกต้องเหมาะสม หรือมีการบาดเจ็บที่ยังไม่ได้รับการรักษา จำเป็นต้องได้รับการตรวจและวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะออกกำลังกายก็ควรให้ความสำคัญต่อการเตรียมพร้อมของร่างกาย อย่าฝืนออกกำลังกายให้มากเกินกำลังของตนเองเช่นเดียวกัน
1.หน้าซีด หายใจไม่คงที่
อาการนี้เกิดจากชีพจรที่มีการเต้นเร็ว หายใจถี่ มือเท้าเย็น รู้สึกเหมือนจะไม่ได้สติ บางรายอาจจะมีอาการเพ้อ มีอาการเซื่องซึมหรือกระวนกระวาย ส่วนสาเหตุอาจจจะมาจากการขาดออกซิเจนของสมอง ขาดน้ำ ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายไม่สมดุล มีความผิดปกติเกี่ยวกับฮอร์โมน ทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ หรือมีปัญหาสุขภาพจิต
2.กระดูกผิดรูป ข้อเคลื่อนหลุด หรือขยับบริเวณกระดูกหรือข้อต่อรู้สึกผิดปกติ
อาการนี้จะมีการปวดบริเวณกระดูกหรือข้อหลังจากอุบัติเหตุ มีอาการบวม ฟกช้ำ หรือผิดรูป มาจากสาเหตุ คือ ล้ม ถูกกระแทก ได้รับบาดเจ็บของกระดูกและข้อต่อ ซึ่งก็อยู่ที่ความรุนแรงกับลักษณะอาการบาดเจ็บที่พบเจอมา
3.ใจสั่น เจ็บหน้าอก หายใจติดขัดเหนื่อย
สาเหตุนี้มาจากการเหนื่อยง่ายหรือมากกว่าปกติ อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หายใจไม่อิ่ม มาจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
4.อาการอ่อนแรง กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต
สำหรับอาการเกร็งหรือกระตุกกล้ามเนื้อนั้นจะไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อให้เคลื่อนไหว หรือทำงานได้ตามปกติ ตัวอย่างเช่น อาการแขนขาอ่อนแรง ยกอวัยวะจำพวกแขนไม่ขึ้น โดยอาจจะเป็นอาการบ่งชี้ของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงบางชนิด หรือ ALS หรือเกิดความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับสมอง เช่น เส้นเลือดสมองฝ่อหรือแตก โรคไขสันหลังกระดูกต้นคอ และเส้นประสาทต่างๆ ที่ควบคุมกล้ามเนื้อ
5.มีความปวดเรื้อรังหรือมีอาการแย่ลง
ส่วนอาการนี้มีการปวดหลังจากการได้รับบาดเจ็บมาสักระยะหนึ่ง ทั้งที่ได้รับหรือไม่ได้รับการรักษา มีอาการเป็นซ้ำหรือรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมแบบเดิม เช่น เจ็บข้อเท้าขณะวิ่ง เมื่อหยุดวิ่งอาการจะหายไป แล้วถ้ากลับมาวิ่งอาการก็มาเหมือนเดิม เป็นต้น อาจเกิดจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับการดูแลไม่ถูกต้องเหมาะสม หรือมีการบาดเจ็บที่ยังไม่ได้รับการรักษา จำเป็นต้องได้รับการตรวจและวินิจฉัย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะออกกำลังกายก็ควรให้ความสำคัญต่อการเตรียมพร้อมของร่างกาย อย่าฝืนออกกำลังกายให้มากเกินกำลังของตนเองเช่นเดียวกัน