ปัญหาขยะพลาสติก นับว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาหลักของคนในชีวิตประจำวันก็ว่าได้ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าวัตถุดังกล่าวนี้มีการย่อยสลายที่ค่อนข้างใช้เวลานาน อีกทั้งยังสร้างผลเสียต่อระบบธรรมชาติอย่างพอสมควร แต่มันก็ยังไม่สายที่เราจะมาร่วมมือกันคนละไม้ละมือได้ ซึ่ง ท็อป-พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร และ นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา สองนักแสดงและนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ขอก้าวต่อกับแอปพลิเคชัน ‘ECOLIFE’ กับ แคมเปญ ‘ลดล้านชิ้น’ โครงการลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ที่มีเป้าหมายว่าจะลดให้ได้ 1 ล้านชิ้น ภายในสิ้นปี 2561 นี้

• จุดเริ่มของแคมเปญนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไรบ้างครับ
พิพัฒน์ : เราสองคนเราทำเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาเกือบ 10 ปีแล้ว แล้วบริษัทของเราก็เป็นธุรกิจเพื่อสังคม social enterprise (SE) ชื่อว่า บริษัท คิดคิด บวกกับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องขยะพลาสติก เราไม่ได้มองว่าพลาสติกมันผิดอะไรนะ แต่พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเนี่ยมันเร็วเกินไป เราน่าจะปฏิเสธสิ่งนี้ได้ คุณเคยมั้ยครับเวลาที่ไปซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ พอเขาให้มาในร้านแล้วเราออกนอกร้าน เราก็ทิ้งมันแล้ว ผมว่าน่าจะใช้พลาสติกให้คุ้มได้มากกว่านี้ บวกกับสถิติขยะพลาสติก คือ ประเทศไทยเราอยู่อันดับ 6 ของโลกที่มีพลาสติกในทะเลมากที่สุด จริงๆ แล้วมันควรที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามติดอันดับโลกมากกว่านะ
ความคิดเหล่านี้เริ่มมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วที่เราเริ่มกันอย่างจริงจัง คือเราอยากทำอะไรที่ง่าย สนุก วัดผลได้ จึงลงตัวที่แอปพลิเคชันเพื่อให้คนได้เห็นว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมมันสามารถเข้าไปในชีวิตประจำวันได้ แล้วทำเป็นแคมเปญออกมาเป็นโครงการที่ชื่อว่า “ลด ล้าน ชิ้น” คือเราอยากจะลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ได้มากที่สุด
ภายในสิ้นปีนี้ แล้วเลือกกลุ่มเป้าหมายแรก คือ กลุ่มนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เรามองว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มเริ่มต้นของเรา หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ไล่ไปในแต่ละระดับ จากมหาวิทยาลัย ตามด้วยบริษัท ต่อที่หน่วยงานภาครัฐ และขยายให้ครอบคลุมต่อไปทั่วทั้งประเทศไทย

• คุณกำลังจะบอกว่าเราเรียนรู้ปัญหานี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว
พิพัฒน์ : ใช่ครับ คือผมกับอาจารย์ก็เคยคุยกันว่า I’m not a plastic bag บนถุงผ้า เรารู้สึกว่าถุงพลาสติกมันไม่ได้ผิดอะไร อยู่ดีๆ ก็เหมือนกับเขาเป็นจำเลยสังคม กลายเป็นว่าถุงผ้าดูดีขึ้นมาเฉยเลย หลังจากนั้นคนก็ได้ใช้ถุงผ้ากันเต็มที่ ไปงานไหนก็มีแต่แจกถุงผ้า แต่ปัญหาคือ พอเราได้มาแล้วเรากลับไม่ค่อยได้ใช้มัน เอาเก็บไว้ที่บ้าน รู้มั้ยครับว่าถ้าถุงผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายเป็นการทำเกษตรที่ใช้น้ำเยอะที่สุด นอกนั้นก็จะมีสารเคมี สารฆ่าแมลง แล้วมีพวกปุ๋ยต่างๆ ที่ต้องโหมกระหน่ำใส่เข้าไป แต่กลายเป็นว่าเราไม่ได้ใช้เขาเลย
ศิรพันธ์ : มันเหมือนกับคนเห่อ แบบไม่รู้จะเริ่มยังไง ก็แจกถุงผ้ากันดีกว่า ถ้าลองเทียบดู ถุงผ้าที่ถูกผลิตขึ้นมาแล้วใช้แค่ครั้งเดียว ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมมันแพงกว่าถุงพลาสติก 1 ใบตั้งเท่าไหร่ เราน่าจะเอาพลาสติกมาสร้างมูลค่าหรือนวัตกรรมน่าจะดีกว่า
พิพัฒน์ : เรามองว่าถุงพลาสติก เขามีเวลาเฉลี่ยประมาณ 450 ปี เราควรจะใช้เขาอย่างคุ้มค่ากว่านี้มั้ย เพราะพลาสติกมันได้มาจากน้ำมัน แล้วกว่าโลกจะได้น้ำมันมาก็ตั้งนาน ไหนจะต้องจัดการและกำจัดให้ถูกต้องอีก
• คือให้พลาสติกสามารถใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด
พิพัฒน์ : ใช่ครับ คือทรัพยากรบนโลกนี้มันมีจำกัด ดังนั้นถ้าเราใช้แบบไม่คุ้มค่า แล้วพอมันหมดไป เราจะหาอะไรมาทดแทนก็ลำบากแล้ว เราไม่ได้ห้ามไม่ให้ใช้ แต่มาช่วยกันใช้อย่างคุ้มค่าเถอะ
แสดงว่าในการใช้พลาสติกแต่ละครั้งก็ต้องมีการคำนึงในการใช้แต่ละครั้งด้วย
พิพัฒน์ : แน่นอนครับ แต่ไม่ต้องซีเรียสนะ เดี๋ยวจะเครียดไปใหญ่ ลองคิดว่าถ้าคิดก่อนก็ดีกับตัวเองก็ได้ อย่างโฟมก็เป็นส่วนหนึ่งของพลาสติก ถ้าเราหันมาใช้ปิ่นโต หรือกล่องข้าวอาจลดการเสี่ยงเป็นมะเร็ง หรือถ้าถุงพลาสติกและหลอดมีที่บ้านมากแล้วแต่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ปฏิเสธไม่รับบ้างก็ได้

• คือการเริ่มแคมเปญนี้ก็ค่อนข้างขัดแย้งกับวิถีคนเมืองพอสมควรอยู่นะครับ
ศิรพันธ์ : สำหรับเรานะ นุ่นคิดว่าเราถูกสปอยด์มาก เอะอะซื้อของชิ้นเดียว พนักงานก็ให้ถุงพลาสติกแล้ว ทั้งๆ ที่เราสามารถเดินออกมาแล้วก็กินและทิ้งเลยก็ได้ คือตอนนี้ทุกอย่างมันเยอะเกินไป มันไม่ได้อยู่ในเส้นที่พอดีหรือสมดุล อะไรที่มันถูกใช้มากเกินไปมันก็จะมีผลกระทบหมด ดังนั้นทุกอย่างมันมีคุณค่าของมัน แต่ใช้ยังไงให้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด อันนี้น่าจะเป็นหัวใจหลักในการทำแคมเปญของเรา
พิพัฒน์ : อะไรที่มันจำเป็นต้องใช้ ก็ใช้ไปเถอะ อย่างสมมติคุณไปซื้อน้ำปั่น แล้วคุณไม่ใช้หลอด มันกินลำบาก ถ้ายกขึ้นมาซดมันก็เลอะอีก ฉะนั้นคุณก็ต้องมีหลอด หรือถ้าไปซื้อของร้อน คุณก็ควรที่จะได้ถุง ไม่งั้นมันจะร้อนมือ ก็จับไม่ได้อีก
• จากผลเสียของพลาสติก นี่คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดแคมเปญนี้ด้วย
พิพัฒน์ : คือแรกสุด เราแค่อยากทำแคมเปญแบบเล็กๆ จากผลเสียของขยะพลาสติกที่เราได้เห็นและรับรู้ แต่พอมีโอกาสเจอกับคนหลายๆ คน ในหลายๆ งาน มันทำให้มีความใหญ่มากขึ้น จนกลายเป็นแคมเปญขึ้นมาเช่น ผมได้ไปเจอกับ อ.ปริญญา (เทวานฤมิตรกุล) ม.ธรรมศาสตร์ ท่านก็บอกว่าให้เราลองมาทำให้กลุ่มของเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย ซึ่งมีกว่า 30 มหาวิทยาลัยในประเทศไทย
โดยภายในระยะเวลาแค่ 4 เดือน (กันยายนถึงธันวาคม) เรามองว่ามันน่าจะท้าทายให้ลดขยะพลาสติกได้ 1 ล้านชิ้น จากนักศึกษาในเครือข่ายประมาณ 7 แสนคน ถ้าคิด 5 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ที่ 35,000 คน ถ้าลดไปวันละ 1 ชิ้น แค่ 30 วันก็น่าจะเป็นไปได้ และแน่นอนเราต้องการกำลังเสริมในเรื่องการสื่อสารไปให้นักศึกษาและอาจารย์ได้รู้เป้าหมายร่วมกัน หรือถ้าบริษัทหรือหน่วยงานอยากร่วมด้วยเราก็ยินดีนะครับ

• การเริ่มที่กลุ่มนักศึกษา มันก็สะท้อนว่าให้พวกเขาเห็นว่ามันมีปัญหานี้แล้ว
พิพัฒน์ : ผู้ใหญ่ชอบพูดกันว่า “เด็กสมัยนี้” มักมองเห็นแต่ตัวเอง ไม่ได้มองสิ่งรอบตัวหรือคนอื่นเลย แล้วน้องก็จะถูกมองในแง่ลบอยู่เสมอ แต่เรามองว่าพวกเขามีพลังบางอย่างที่น่าสนใจ แต่เราอาจต้องหาเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อให้เขารู้สึกว่ามันสามารถทำได้ ไม่ยากอะไร เขาก็น่าจะมาร่วมมือกับเราได้ เพราะผมเชื่อว่าเขารู้ปัญหาอยู่แล้ว
• คำว่า “เด็กสมัยนี้” มันมีความดื้ออยู่พอสมควรนะครับ
พิพัฒน์ : เราเองก็เคยเป็น “เด็กสมัยนี้” ของผู้ใหญ่ ดังนั้น การพัฒนา ECOLIFE app ในเวอร์ชันนี้ส่วนใหญ่ได้ไอเดียมาจากนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ เราก็เอามาปรับใช้ แล้วเราก็ดื้อเพื่อให้ได้สิ่งต้องการเหมือนเด็กๆ เหมือนกัน สุดท้ายคือดื้อพอกัน

• อยากให้พวกคุณอธิบายถึงแคมเปญนี้
ศิรพันธ์ : ในปี 2561 นี้บริษัท คิดคิด ได้ออกแบบและสร้างเครื่องมือเพื่อวัดผลการช่วยลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างเป็นรูปธรรม จึงออกมาเป็น ECOLIFE app ซึ่งมาในรูปแบบเกมสะสมพื้นที่และการเติบโตของตัวการ์ตูน พร้อมมีสิทธิประโยชน์มอบให้แก่ผู้ทำดีเพื่อสิ่งแวดล้อม จึงเกิดเป็นแคมเปญ “ลด ล้าน ชิ้น” เพื่อให้มีเป้าหมายร่วมกันในการลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งจำนวน 1 ล้านชิ้น
กลุ่มเป้าหมายแรกคือ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ต้องการเข้าร่วมแคมเปญกับเรา ซึ่งในตอนนี้เรามีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมแล้ว 20 กว่าแห่ง แต่เรายังอยากให้เข้าร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเราเพิ่งปรับปรุงแอปพลิเคชันให้โรงเรียน บริษัท หน่วยงานภาครัฐที่สนใจสามารถเข้าร่วมเพิ่มเติมได้ด้วย
โดยการใช้งานแอปพลิเคชันเริ่มจากดาวน์โหลดโดยพิมพ์ ECOLIFE จากนั้นก็ระบุมหาวิทยาลัยและคณะของตัวเอง พร้อมเลือกพื้นที่ที่ต้องการสะสม แล้วเมื่อน้องๆ หรือคนใช้แอปไปซื้อข้าว น้ำ ขนม ตามร้านอาหาร ร้านน้ำ ร้านสะดวกซื้อ แล้วปฏิเสธไม่รับถุง หลอด แก้ว ช้อนส้อมพลาสติก ขอให้สแกน QR code ที่ติดตามร้านต่างๆ เพื่อสะสมคะแนนที่จะทำให้พื้นที่และตัวการ์ตูนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นเราก็มีสิทธิประโยชน์ให้น้องๆ เช่น ส่วนลดบัตรดูหนังจากเมเจอร์ฯ กระบอกน้ำจาก Adidas และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ผู้สนับสนุนจะรอมอบให้น้องๆ เมื่อช่วยกันลดขยะพลาสติก

• ทำไมคุณต้องปรับแอปพลิเคชันให้โรงเรียน บริษัท หน่วยงานภาครัฐที่สนใจสามารถเข้าร่วม
ศิรพันธ์ : เราเริ่มประชาสัมพันธ์เล็กๆ แล้วมีคนของแต่ละที่ส่งข้อความมาบอกว่าสนใจเข้าร่วม รวมทั้งเวลาลงพื้นที่ไปตามมหาวิทยาลัยอาจารย์ก็จะพูดถึงเด็กนักเรียนด้วย เช่น เราเพิ่งไปมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์ที่นั่นก็อยากชวนให้สาธิตเกษตรฯ เข้ามาร่วมด้วย เลยคิดว่าเราไม่น่าจะปิดกั้นสำหรับคนที่อยากเข้าร่วมแคมเปญกับเรา
• เดิมทีน่าจะมีคนทำอยู่ก่อนบ้างแล้ว พอมีแคมเปญนี้มาคนกลุ่มนี้น่าจะอยากมาร่วมด้วย มันทำให้สิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันเริ่มมีคนมองเห็นชัดขึ้น
ศิรพันธ์ : ความตั้งใจของเราคือการสร้างการมีส่วนร่วมในด้านสิ่งแวดล้อมที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เรามีการเก็บข้อมูลตั้งแต่ชื่อมหาวิทยาลัย แยกเป็นคณะ แยกเป็นรายบุคคล แยกเป็นร้านต่างๆ ที่นำ QR code ไปติดไว้ ดังนั้น ผลรวมต่างๆ ที่เราเก็บข้อมูลไว้ในระบบจะสามารถบอกได้เลยว่าคุณช่วยกันลดประเภทพลาสติกแบบไหน จำนวนเท่าไหร่ ลดคาร์บอนไปได้กี่กิโลฯ ซึ่งมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานที่ร่วมกับเราก็จะได้รับผลของข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น การเรียนรายงาน การสื่อสาร การสร้างโครงการ และการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและคนในองค์กร
พิพัฒน์ : เราอยากสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แล้วหวังว่าน่าจะเป็นไปได้จากเครื่องมือของเรา แล้วผลรวมต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับประเทศของเราต่อไปได้

• คล้ายกับ ECOLIFE app เป็นจุดศูนย์กลางเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
ศิรพันธ์ : ใช่ค่ะ เป้าหมายของเราคือ ภายในสิ้นปีนี้เราต้องลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ได้ 1 ล้านชิ้น เพื่อเป็นของขวัญให้แก่ประเทศไทย
พิพัฒน์ : ผมคิดว่าตัวเลข 1 ล้านชิ้น มันมีความเป็นไปได้ จากพลังนักศึกษาเป็นจุดเริ่มต้น แล้วถ้าคนกลุ่มอื่นอยากจะมาร่วมแสดงพลังก็สามารถติดต่อเข้ามาได้นะครับ เราก็จะนำคิวอาร์โค้ตไปให้ไว้ตามร้านต่างๆ ในองค์กรคุณ นอกนั้นเรายังเดินสายเพื่อไปพบนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ กว่า 30 แห่งทั่วประเทศ ภายในเดือนกันยายนและตุลาคมนี้ เพื่ออธิบายและรณรงค์เรื่องขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ด้วยการสนับสนุนของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รวมทั้งของรางวัลจากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ อีกด้วย

• ความคาดหวังต่อไป ถ้าแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ครับ
พิพัฒน์ : ผมอยากฝันให้ใกล้แล้วไปให้ถึงก่อน ตอนนี้ในแคมเปญปีนี้เราอยากจะทำให้มันได้ก่อน เพราะเราต้องบันทึกการลดขยะพลาสติกในทุกๆ วัน ผมอยากให้มหาวิทยาลัยที่ยังไม่ได้เข้าร่วมมาร่วมกัน เพื่อลดขยะพลาสติกไปด้วยกัน นี่คือความฝันสูงสุดในระยะใกล้ของผม ถ้าเป็นระยะต่อไป ผมก็อยากจะให้ขยายต่อไปยังหน่วยงานราชการ ไปตามบริษัทเอกชนและโรงเรียนด้วย ไปตามสถานที่ต่างๆ แล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นทั่วทั้งประเทศร่วมกันในการลดขยะพลาสติก
ถ้ามันได้ตามที่หวังจริงในอนาคต เราจะเอาข้อมูลไปบอกกับรัฐบาล ทำให้เขาเห็นว่าของบางอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้นี่หว่า เหมือนพลาสติกที่หุ้มฝาขวด หรือการที่ภาคประชาชนตื่นตัวกันแบบกรณีจักรยาน เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งแวดล้อมที่ดี มันคือเรื่องของเรา เราก็จะได้ไปเที่ยวทะเลแล้วเจอหาดทรายที่น่านอน ดำน้ำแล้วเจอปลา เจอปะการัง ไม่ใช่ว่าดำไปแล้วเจอถุงพลาสติก มันไม่ควรไปอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่านี่คือความฝันในระยะใกล้ กลาง และไกล ที่ผมอยากจะไปให้ถึง
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
• จุดเริ่มของแคมเปญนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไรบ้างครับ
พิพัฒน์ : เราสองคนเราทำเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาเกือบ 10 ปีแล้ว แล้วบริษัทของเราก็เป็นธุรกิจเพื่อสังคม social enterprise (SE) ชื่อว่า บริษัท คิดคิด บวกกับสิ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องขยะพลาสติก เราไม่ได้มองว่าพลาสติกมันผิดอะไรนะ แต่พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งเนี่ยมันเร็วเกินไป เราน่าจะปฏิเสธสิ่งนี้ได้ คุณเคยมั้ยครับเวลาที่ไปซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ พอเขาให้มาในร้านแล้วเราออกนอกร้าน เราก็ทิ้งมันแล้ว ผมว่าน่าจะใช้พลาสติกให้คุ้มได้มากกว่านี้ บวกกับสถิติขยะพลาสติก คือ ประเทศไทยเราอยู่อันดับ 6 ของโลกที่มีพลาสติกในทะเลมากที่สุด จริงๆ แล้วมันควรที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามติดอันดับโลกมากกว่านะ
ความคิดเหล่านี้เริ่มมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วที่เราเริ่มกันอย่างจริงจัง คือเราอยากทำอะไรที่ง่าย สนุก วัดผลได้ จึงลงตัวที่แอปพลิเคชันเพื่อให้คนได้เห็นว่าเรื่องสิ่งแวดล้อมมันสามารถเข้าไปในชีวิตประจำวันได้ แล้วทำเป็นแคมเปญออกมาเป็นโครงการที่ชื่อว่า “ลด ล้าน ชิ้น” คือเราอยากจะลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ได้มากที่สุด
ภายในสิ้นปีนี้ แล้วเลือกกลุ่มเป้าหมายแรก คือ กลุ่มนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เรามองว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มเริ่มต้นของเรา หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ไล่ไปในแต่ละระดับ จากมหาวิทยาลัย ตามด้วยบริษัท ต่อที่หน่วยงานภาครัฐ และขยายให้ครอบคลุมต่อไปทั่วทั้งประเทศไทย
• คุณกำลังจะบอกว่าเราเรียนรู้ปัญหานี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว
พิพัฒน์ : ใช่ครับ คือผมกับอาจารย์ก็เคยคุยกันว่า I’m not a plastic bag บนถุงผ้า เรารู้สึกว่าถุงพลาสติกมันไม่ได้ผิดอะไร อยู่ดีๆ ก็เหมือนกับเขาเป็นจำเลยสังคม กลายเป็นว่าถุงผ้าดูดีขึ้นมาเฉยเลย หลังจากนั้นคนก็ได้ใช้ถุงผ้ากันเต็มที่ ไปงานไหนก็มีแต่แจกถุงผ้า แต่ปัญหาคือ พอเราได้มาแล้วเรากลับไม่ค่อยได้ใช้มัน เอาเก็บไว้ที่บ้าน รู้มั้ยครับว่าถ้าถุงผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายเป็นการทำเกษตรที่ใช้น้ำเยอะที่สุด นอกนั้นก็จะมีสารเคมี สารฆ่าแมลง แล้วมีพวกปุ๋ยต่างๆ ที่ต้องโหมกระหน่ำใส่เข้าไป แต่กลายเป็นว่าเราไม่ได้ใช้เขาเลย
ศิรพันธ์ : มันเหมือนกับคนเห่อ แบบไม่รู้จะเริ่มยังไง ก็แจกถุงผ้ากันดีกว่า ถ้าลองเทียบดู ถุงผ้าที่ถูกผลิตขึ้นมาแล้วใช้แค่ครั้งเดียว ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมมันแพงกว่าถุงพลาสติก 1 ใบตั้งเท่าไหร่ เราน่าจะเอาพลาสติกมาสร้างมูลค่าหรือนวัตกรรมน่าจะดีกว่า
พิพัฒน์ : เรามองว่าถุงพลาสติก เขามีเวลาเฉลี่ยประมาณ 450 ปี เราควรจะใช้เขาอย่างคุ้มค่ากว่านี้มั้ย เพราะพลาสติกมันได้มาจากน้ำมัน แล้วกว่าโลกจะได้น้ำมันมาก็ตั้งนาน ไหนจะต้องจัดการและกำจัดให้ถูกต้องอีก
• คือให้พลาสติกสามารถใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด
พิพัฒน์ : ใช่ครับ คือทรัพยากรบนโลกนี้มันมีจำกัด ดังนั้นถ้าเราใช้แบบไม่คุ้มค่า แล้วพอมันหมดไป เราจะหาอะไรมาทดแทนก็ลำบากแล้ว เราไม่ได้ห้ามไม่ให้ใช้ แต่มาช่วยกันใช้อย่างคุ้มค่าเถอะ
แสดงว่าในการใช้พลาสติกแต่ละครั้งก็ต้องมีการคำนึงในการใช้แต่ละครั้งด้วย
พิพัฒน์ : แน่นอนครับ แต่ไม่ต้องซีเรียสนะ เดี๋ยวจะเครียดไปใหญ่ ลองคิดว่าถ้าคิดก่อนก็ดีกับตัวเองก็ได้ อย่างโฟมก็เป็นส่วนหนึ่งของพลาสติก ถ้าเราหันมาใช้ปิ่นโต หรือกล่องข้าวอาจลดการเสี่ยงเป็นมะเร็ง หรือถ้าถุงพลาสติกและหลอดมีที่บ้านมากแล้วแต่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ปฏิเสธไม่รับบ้างก็ได้
• คือการเริ่มแคมเปญนี้ก็ค่อนข้างขัดแย้งกับวิถีคนเมืองพอสมควรอยู่นะครับ
ศิรพันธ์ : สำหรับเรานะ นุ่นคิดว่าเราถูกสปอยด์มาก เอะอะซื้อของชิ้นเดียว พนักงานก็ให้ถุงพลาสติกแล้ว ทั้งๆ ที่เราสามารถเดินออกมาแล้วก็กินและทิ้งเลยก็ได้ คือตอนนี้ทุกอย่างมันเยอะเกินไป มันไม่ได้อยู่ในเส้นที่พอดีหรือสมดุล อะไรที่มันถูกใช้มากเกินไปมันก็จะมีผลกระทบหมด ดังนั้นทุกอย่างมันมีคุณค่าของมัน แต่ใช้ยังไงให้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด อันนี้น่าจะเป็นหัวใจหลักในการทำแคมเปญของเรา
พิพัฒน์ : อะไรที่มันจำเป็นต้องใช้ ก็ใช้ไปเถอะ อย่างสมมติคุณไปซื้อน้ำปั่น แล้วคุณไม่ใช้หลอด มันกินลำบาก ถ้ายกขึ้นมาซดมันก็เลอะอีก ฉะนั้นคุณก็ต้องมีหลอด หรือถ้าไปซื้อของร้อน คุณก็ควรที่จะได้ถุง ไม่งั้นมันจะร้อนมือ ก็จับไม่ได้อีก
• จากผลเสียของพลาสติก นี่คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดแคมเปญนี้ด้วย
พิพัฒน์ : คือแรกสุด เราแค่อยากทำแคมเปญแบบเล็กๆ จากผลเสียของขยะพลาสติกที่เราได้เห็นและรับรู้ แต่พอมีโอกาสเจอกับคนหลายๆ คน ในหลายๆ งาน มันทำให้มีความใหญ่มากขึ้น จนกลายเป็นแคมเปญขึ้นมาเช่น ผมได้ไปเจอกับ อ.ปริญญา (เทวานฤมิตรกุล) ม.ธรรมศาสตร์ ท่านก็บอกว่าให้เราลองมาทำให้กลุ่มของเครือข่ายมหาวิทยาลัยยั่งยืนแห่งประเทศไทย ซึ่งมีกว่า 30 มหาวิทยาลัยในประเทศไทย
โดยภายในระยะเวลาแค่ 4 เดือน (กันยายนถึงธันวาคม) เรามองว่ามันน่าจะท้าทายให้ลดขยะพลาสติกได้ 1 ล้านชิ้น จากนักศึกษาในเครือข่ายประมาณ 7 แสนคน ถ้าคิด 5 เปอร์เซ็นต์จะอยู่ที่ 35,000 คน ถ้าลดไปวันละ 1 ชิ้น แค่ 30 วันก็น่าจะเป็นไปได้ และแน่นอนเราต้องการกำลังเสริมในเรื่องการสื่อสารไปให้นักศึกษาและอาจารย์ได้รู้เป้าหมายร่วมกัน หรือถ้าบริษัทหรือหน่วยงานอยากร่วมด้วยเราก็ยินดีนะครับ
• การเริ่มที่กลุ่มนักศึกษา มันก็สะท้อนว่าให้พวกเขาเห็นว่ามันมีปัญหานี้แล้ว
พิพัฒน์ : ผู้ใหญ่ชอบพูดกันว่า “เด็กสมัยนี้” มักมองเห็นแต่ตัวเอง ไม่ได้มองสิ่งรอบตัวหรือคนอื่นเลย แล้วน้องก็จะถูกมองในแง่ลบอยู่เสมอ แต่เรามองว่าพวกเขามีพลังบางอย่างที่น่าสนใจ แต่เราอาจต้องหาเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อให้เขารู้สึกว่ามันสามารถทำได้ ไม่ยากอะไร เขาก็น่าจะมาร่วมมือกับเราได้ เพราะผมเชื่อว่าเขารู้ปัญหาอยู่แล้ว
• คำว่า “เด็กสมัยนี้” มันมีความดื้ออยู่พอสมควรนะครับ
พิพัฒน์ : เราเองก็เคยเป็น “เด็กสมัยนี้” ของผู้ใหญ่ ดังนั้น การพัฒนา ECOLIFE app ในเวอร์ชันนี้ส่วนใหญ่ได้ไอเดียมาจากนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ เราก็เอามาปรับใช้ แล้วเราก็ดื้อเพื่อให้ได้สิ่งต้องการเหมือนเด็กๆ เหมือนกัน สุดท้ายคือดื้อพอกัน
• อยากให้พวกคุณอธิบายถึงแคมเปญนี้
ศิรพันธ์ : ในปี 2561 นี้บริษัท คิดคิด ได้ออกแบบและสร้างเครื่องมือเพื่อวัดผลการช่วยลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างเป็นรูปธรรม จึงออกมาเป็น ECOLIFE app ซึ่งมาในรูปแบบเกมสะสมพื้นที่และการเติบโตของตัวการ์ตูน พร้อมมีสิทธิประโยชน์มอบให้แก่ผู้ทำดีเพื่อสิ่งแวดล้อม จึงเกิดเป็นแคมเปญ “ลด ล้าน ชิ้น” เพื่อให้มีเป้าหมายร่วมกันในการลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งจำนวน 1 ล้านชิ้น
กลุ่มเป้าหมายแรกคือ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ต้องการเข้าร่วมแคมเปญกับเรา ซึ่งในตอนนี้เรามีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมแล้ว 20 กว่าแห่ง แต่เรายังอยากให้เข้าร่วมกับเรามากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเราเพิ่งปรับปรุงแอปพลิเคชันให้โรงเรียน บริษัท หน่วยงานภาครัฐที่สนใจสามารถเข้าร่วมเพิ่มเติมได้ด้วย
โดยการใช้งานแอปพลิเคชันเริ่มจากดาวน์โหลดโดยพิมพ์ ECOLIFE จากนั้นก็ระบุมหาวิทยาลัยและคณะของตัวเอง พร้อมเลือกพื้นที่ที่ต้องการสะสม แล้วเมื่อน้องๆ หรือคนใช้แอปไปซื้อข้าว น้ำ ขนม ตามร้านอาหาร ร้านน้ำ ร้านสะดวกซื้อ แล้วปฏิเสธไม่รับถุง หลอด แก้ว ช้อนส้อมพลาสติก ขอให้สแกน QR code ที่ติดตามร้านต่างๆ เพื่อสะสมคะแนนที่จะทำให้พื้นที่และตัวการ์ตูนเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนั้นเราก็มีสิทธิประโยชน์ให้น้องๆ เช่น ส่วนลดบัตรดูหนังจากเมเจอร์ฯ กระบอกน้ำจาก Adidas และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่ผู้สนับสนุนจะรอมอบให้น้องๆ เมื่อช่วยกันลดขยะพลาสติก
• ทำไมคุณต้องปรับแอปพลิเคชันให้โรงเรียน บริษัท หน่วยงานภาครัฐที่สนใจสามารถเข้าร่วม
ศิรพันธ์ : เราเริ่มประชาสัมพันธ์เล็กๆ แล้วมีคนของแต่ละที่ส่งข้อความมาบอกว่าสนใจเข้าร่วม รวมทั้งเวลาลงพื้นที่ไปตามมหาวิทยาลัยอาจารย์ก็จะพูดถึงเด็กนักเรียนด้วย เช่น เราเพิ่งไปมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์ที่นั่นก็อยากชวนให้สาธิตเกษตรฯ เข้ามาร่วมด้วย เลยคิดว่าเราไม่น่าจะปิดกั้นสำหรับคนที่อยากเข้าร่วมแคมเปญกับเรา
• เดิมทีน่าจะมีคนทำอยู่ก่อนบ้างแล้ว พอมีแคมเปญนี้มาคนกลุ่มนี้น่าจะอยากมาร่วมด้วย มันทำให้สิ่งที่พวกเขาทำนั้นมันเริ่มมีคนมองเห็นชัดขึ้น
ศิรพันธ์ : ความตั้งใจของเราคือการสร้างการมีส่วนร่วมในด้านสิ่งแวดล้อมที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม เรามีการเก็บข้อมูลตั้งแต่ชื่อมหาวิทยาลัย แยกเป็นคณะ แยกเป็นรายบุคคล แยกเป็นร้านต่างๆ ที่นำ QR code ไปติดไว้ ดังนั้น ผลรวมต่างๆ ที่เราเก็บข้อมูลไว้ในระบบจะสามารถบอกได้เลยว่าคุณช่วยกันลดประเภทพลาสติกแบบไหน จำนวนเท่าไหร่ ลดคาร์บอนไปได้กี่กิโลฯ ซึ่งมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานที่ร่วมกับเราก็จะได้รับผลของข้อมูลไปใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น การเรียนรายงาน การสื่อสาร การสร้างโครงการ และการมีส่วนร่วมของนักศึกษาและคนในองค์กร
พิพัฒน์ : เราอยากสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน แล้วหวังว่าน่าจะเป็นไปได้จากเครื่องมือของเรา แล้วผลรวมต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างกับประเทศของเราต่อไปได้
• คล้ายกับ ECOLIFE app เป็นจุดศูนย์กลางเพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน
ศิรพันธ์ : ใช่ค่ะ เป้าหมายของเราคือ ภายในสิ้นปีนี้เราต้องลดขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งให้ได้ 1 ล้านชิ้น เพื่อเป็นของขวัญให้แก่ประเทศไทย
พิพัฒน์ : ผมคิดว่าตัวเลข 1 ล้านชิ้น มันมีความเป็นไปได้ จากพลังนักศึกษาเป็นจุดเริ่มต้น แล้วถ้าคนกลุ่มอื่นอยากจะมาร่วมแสดงพลังก็สามารถติดต่อเข้ามาได้นะครับ เราก็จะนำคิวอาร์โค้ตไปให้ไว้ตามร้านต่างๆ ในองค์กรคุณ นอกนั้นเรายังเดินสายเพื่อไปพบนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ กว่า 30 แห่งทั่วประเทศ ภายในเดือนกันยายนและตุลาคมนี้ เพื่ออธิบายและรณรงค์เรื่องขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ด้วยการสนับสนุนของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) รวมทั้งของรางวัลจากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ อีกด้วย
• ความคาดหวังต่อไป ถ้าแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ครับ
พิพัฒน์ : ผมอยากฝันให้ใกล้แล้วไปให้ถึงก่อน ตอนนี้ในแคมเปญปีนี้เราอยากจะทำให้มันได้ก่อน เพราะเราต้องบันทึกการลดขยะพลาสติกในทุกๆ วัน ผมอยากให้มหาวิทยาลัยที่ยังไม่ได้เข้าร่วมมาร่วมกัน เพื่อลดขยะพลาสติกไปด้วยกัน นี่คือความฝันสูงสุดในระยะใกล้ของผม ถ้าเป็นระยะต่อไป ผมก็อยากจะให้ขยายต่อไปยังหน่วยงานราชการ ไปตามบริษัทเอกชนและโรงเรียนด้วย ไปตามสถานที่ต่างๆ แล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นทั่วทั้งประเทศร่วมกันในการลดขยะพลาสติก
ถ้ามันได้ตามที่หวังจริงในอนาคต เราจะเอาข้อมูลไปบอกกับรัฐบาล ทำให้เขาเห็นว่าของบางอย่างมันก็ไม่จำเป็นต้องใช้นี่หว่า เหมือนพลาสติกที่หุ้มฝาขวด หรือการที่ภาคประชาชนตื่นตัวกันแบบกรณีจักรยาน เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งแวดล้อมที่ดี มันคือเรื่องของเรา เราก็จะได้ไปเที่ยวทะเลแล้วเจอหาดทรายที่น่านอน ดำน้ำแล้วเจอปลา เจอปะการัง ไม่ใช่ว่าดำไปแล้วเจอถุงพลาสติก มันไม่ควรไปอยู่ตรงนั้น ผมคิดว่านี่คือความฝันในระยะใกล้ กลาง และไกล ที่ผมอยากจะไปให้ถึง
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พลภัทร วรรณดี