กลายเป็นที่สนใจไปทั่วโลกสำหรับ “หัวปลี” โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่นิยมไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เนื่องจากรสชาติที่คล้ายคลึงและมีแคลอรีต่ำ แถมมากไปด้วยสรรพคุณ จึงทำให้เป็นที่ต้องในต่างประเทศ จนมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 1,000 บาท
“หัวปลี” หรือ “ปลีกล้วย” เป็นดอกที่ปลายลำต้นของต้นกล้วย โดยเมื่อกล้วยเจริญเติบโตเต็มที่ หัวจะสร้างใบสุดท้ายที่เรียกว่าใบธง จากนั้นจะหยุดสร้างใบใหม่ และเริ่มสร้างช่อดอก ลำต้นที่มีช่อดอกอ่อนบรรจุอยู่ ก่อนจะพัฒนาขึ้นภายในลำต้นเทียม จนในที่สุดมันก็โผล่ออกที่ด้านบนลำต้นเทียม โดยแต่ละลำต้นเทียมจะสร้างช่อดอกเพียงช่อเดียวเป็น “ปลี”
สรรพคุณของหัวปลีนั้นโดดเด่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ รุ่นปู่ยาตาทวดในเรื่องของการบำรุงน้ำนมของแม่ลูกอ่อนที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร แก้ร้อนใน ยางจากปลีกล้วยก็ใช้รักษาแผลสดหรือทาบริเวณที่แมลงกัดต่อยได้ ปัจจุบันนักวิจัยยังพบว่าหัวปลีมีคุณสมบัติบรรเทาอาการหวัด ไข้ รักษาโรคกระเพาะ และยังช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ที่สำคัญสามารถรักษาแก้โรคยอดฮิตอย่าง เบาหวานได้อีกด้วยหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากหัวปลีอุดมเต็มไปด้วยใยอาหาร มีแมกนีเซียม ธาตุอาหารสำคัญที่มีผลรักษาอาการซึมเศร้า มีแคลเซียม และวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส ที่จะช่วยให้วิตามินเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก
นอกจากนี้ปลีกล้วยยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงฟันให้แข็งแรง และช่วยให้ฟันขาวสะอาด บำรุงเลือด เพิ่มความเปล่งปลั่ง ดูมีเลือดฝาด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี บำรุงลำไส้ โดยทั้งหมดทั้งมวลในคุณค่าสารอาหาร 100 กรัม ที่พลังงาน 26 กิโลแคลอรี แคลเซียม 37 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 52 มิลลิกรัม เหล็ก 1.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 283 IU วิตามินบี 1 0.04 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.03 มิลลิกรัม และวิตามินซี 12 มิลลิกรัม
อยากแข็งแรงสุขภาพดีพร้อมกับหุ่นบอดี้งามสวย เราสามารถรับประทานปลีกล้วยได้ทุกวันโดยสามารถรับประทานได้สดๆ เป็นผักแกล้ม หรือรังสรรค์เมนูยอดฮิตในแบบน้ำและแบบแห้งเช่น หัวปลีไปเผาไฟ จิ้มน้ำพริก ยำหัวปลี รสชาติก็ถูกปากครบครันด้วยสรรพคุณ
“หัวปลี” หรือ “ปลีกล้วย” เป็นดอกที่ปลายลำต้นของต้นกล้วย โดยเมื่อกล้วยเจริญเติบโตเต็มที่ หัวจะสร้างใบสุดท้ายที่เรียกว่าใบธง จากนั้นจะหยุดสร้างใบใหม่ และเริ่มสร้างช่อดอก ลำต้นที่มีช่อดอกอ่อนบรรจุอยู่ ก่อนจะพัฒนาขึ้นภายในลำต้นเทียม จนในที่สุดมันก็โผล่ออกที่ด้านบนลำต้นเทียม โดยแต่ละลำต้นเทียมจะสร้างช่อดอกเพียงช่อเดียวเป็น “ปลี”
สรรพคุณของหัวปลีนั้นโดดเด่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ รุ่นปู่ยาตาทวดในเรื่องของการบำรุงน้ำนมของแม่ลูกอ่อนที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร แก้ร้อนใน ยางจากปลีกล้วยก็ใช้รักษาแผลสดหรือทาบริเวณที่แมลงกัดต่อยได้ ปัจจุบันนักวิจัยยังพบว่าหัวปลีมีคุณสมบัติบรรเทาอาการหวัด ไข้ รักษาโรคกระเพาะ และยังช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ที่สำคัญสามารถรักษาแก้โรคยอดฮิตอย่าง เบาหวานได้อีกด้วยหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากหัวปลีอุดมเต็มไปด้วยใยอาหาร มีแมกนีเซียม ธาตุอาหารสำคัญที่มีผลรักษาอาการซึมเศร้า มีแคลเซียม และวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส ที่จะช่วยให้วิตามินเข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก
นอกจากนี้ปลีกล้วยยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงฟันให้แข็งแรง และช่วยให้ฟันขาวสะอาด บำรุงเลือด เพิ่มความเปล่งปลั่ง ดูมีเลือดฝาด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี บำรุงลำไส้ โดยทั้งหมดทั้งมวลในคุณค่าสารอาหาร 100 กรัม ที่พลังงาน 26 กิโลแคลอรี แคลเซียม 37 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 52 มิลลิกรัม เหล็ก 1.0 มิลลิกรัม วิตามินเอ 283 IU วิตามินบี 1 0.04 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.03 มิลลิกรัม และวิตามินซี 12 มิลลิกรัม
อยากแข็งแรงสุขภาพดีพร้อมกับหุ่นบอดี้งามสวย เราสามารถรับประทานปลีกล้วยได้ทุกวันโดยสามารถรับประทานได้สดๆ เป็นผักแกล้ม หรือรังสรรค์เมนูยอดฮิตในแบบน้ำและแบบแห้งเช่น หัวปลีไปเผาไฟ จิ้มน้ำพริก ยำหัวปลี รสชาติก็ถูกปากครบครันด้วยสรรพคุณ