xs
xsm
sm
md
lg

รู้ไว้นะออเจ้า...“มะม่วง” ผลไม้มากประโยชน์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ช่วงนี้เห็นกระแสมะม่วงน้ำปลาหวานกำลังมาแรง ซึ่ง ‘มะม่วง’ ถือได้ว่าเป็นผลไม้ยอดนิยมของคนไทยเลยก็ว่าได้ เนื่องจากหารับประทานง่าย สามารถนำมารับประทานเป็นผลไม้สดทั้งดิบและสุก อีกทั้งยังนำไปประกอบและแปรรูปเป็นอาหารคาวหวานได้หลากหลายชนิด อาทิ มะม่วงน้ำปลาหวาน, ข้าวเหนียวมะม่วง, น้ำพริกมะม่วง, ยำมะม่วง, มะม่วงกวน, มะม่วงแช่อิ่ม, พายมะม่วง ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งมะม่วงหนึ่งลูกเรียกได้ว่ามีสารอาหารเกือบครบถ้วนเลยทีเดียว


มะม่วงอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี รวมทั้งแร่ธาตุต่างๆ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น โดยมะม่วงดิบ 100 กรัมจะให้พลังงานโดยประมาณ 60 กิโลแคลอรี่ ส่วนมะม่วงสุก 100 กรัมจะให้พลังงานโดยประมาณ 93 กิโลแคลอรี่

ประโยชน์ของมะม่วง

-มะม่วงมีแมกนีเซียมและโพแทสเซียมซึ่งแมกนีเซียมมีคุณสมบัติช่วยในการขยายและผ่อนคลายหลอดเลือด ส่วนโพแทสเซียมมีหน้าที่สำคัญในการเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือดในระบบประสาทได้
- สามารถรักษาระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายหากรับประทานเป็นประจำ เพราะในมะม่วงมีวิตามินซีสูง
-ป้องกันและลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง อาทิ โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
-มะม่วงเหมาะสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เนื่องจากมะม่วงมีธาตุเหล็กช่วยรักษาภาวะโลหิตจางในผู้หญิงตั้งครรภ์ได้

-ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณสดใสเพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระ
-เป็นผลไม้บำรุงสายตา และป้องกันความผิดปกติต่างๆ เกี่ยวกับตา เช่น ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม ตาแห้ง ฯลฯ เนื่องจากอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนค่อนข้างสูง
-มีส่วนช่วยในการจำ ซึ่งจากการศึกษาของ journal Oxidative Medicine พบว่าในมะม่วงมีวิตามินบี 6 ที่มีหน้าที่สำคัญในการดูแลและปรับปรุงการทำงานของสมอง
-เป็นผลไม้บำรุงร่างกายที่ช่วยกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศเพราะอุดมไปด้วยวิตามินอี 
-มะม่วงดิบมีแคลเซียมสูง และช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
-มะม่วงสุกมีส่วนช่วยในการขับถ่าย มีฤทธิ์เป็นยาระบาย อีกทั้งยังสามารถช่วยย่อยอาหารได้ด้วย
- มะม่วงสุกช่วยแก้ไข้หวัดได้

รับประทานมะม่วงให้ปลอดภัย

เนื่องจากมะม่วงเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีรสชาติหวานประกอบไปด้วยน้ำตาลจำนวนมาก อีกทั้งยังมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งมะม่วงดิบจะมีคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปของแป้ง แต่เมื่อเริ่มสุกแป้งเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในกลุ่มของ กลูโคส ฟรักโทส และซูโคส ที่จะดูดซึมเร็วส่งผลกับระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งสิ่งนี้เองอาจเกิดผลเสียกับร่างกายหากรับประทานมากจนเกินไป ดังนั้นไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 หน่วยบริโภค หรือประมาณ 160 กรัม ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องควบคุมปริมาณการรับประทานโดยเฉพาะมะม่วงสุก ทั้งนี้ผู้ป่วยเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานมะม่วง หรือผลไม้ที่มีรสหวานที่ประกอบด้วยน้ำตาลจำนวนมาก เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของตัวคุณเอง
ข้อมูลประกอบบางส่วน : www.pobpad.com, medthai.com, sukkaphap-d.com



กำลังโหลดความคิดเห็น