By: Pharmchompoo
ในระยะนี้ หลายคนอาจได้ข่าวเรื่องมีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งหลายคนอาจมองเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วว่า หน้าร้อนก็ต้องมีหมาบ้า แต่แท้จริงแล้ว โรคพิษสุนัขบ้า พบได้ทุกฤดูกาล ทุกคนมีความเสี่ยงในการสัมผัสโรคและเกิดโรคได้ทั้งสิ้น โรคพิษสุนัขบ้า นับว่าเป็นโรคที่มีอันตรายรุนแรง เพราะหากเมื่อเกิดอาการหลังสัมผัสโรคแล้วอัตราการตายคือ 100% แต่ข่าวดีคือโรคนี้สามารถป้องกันด้วยวัคซีน

แม้เราจะมีวัคซีนหลากหลายยี่ห้อ และมีอิมมูโนโกลบูลิน (Rabies Immunoglobulin; RIG) ที่มีประสิทธิภาพสูง กระนั้นก็ยังมีผู้ที่ต้องเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าอยู่เสมอๆ และหากใครติดตามข่าว ล่าสุดจะพบว่า ในปี 2561 สองเดือนแรกมีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายราย และพบสัตว์ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าไปแล้ว 251 ตัว สูงกว่าระยะเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว 1.5 เท่า ทำให้สถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า ยังมีความน่าเป็นห่วง
ประเด็นของสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าที่ยังไม่ทุเลา มาจากความเข้าใจผิดและการปฏิบัติตัวของผู้ที่สัมผัสโรค เช่น
เข้าใจผิดว่า เฉพาะสุนัขและแมวเท่านั้นที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ แท้จริงแล้ว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด สามารถนำโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่มนุษย์ได้ (แต่ยังไม่มีรายงานการติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ในกรณีที่เป็นการติดโรคตามธรรมชาติ)
เข้าใจผิดว่า สัตว์ที่เลี้ยงในบ้านไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคพิษสุนัขบ้า แท้จริงแล้ว สัตว์มีความเสี่ยงในการไปกัดกับสัตว์อื่น หรือถูกสัตว์อื่นกัดและได้รับเชื้อมา
เข้าใจผิดว่า เฉพาะการกัดมีเลือดออกเท่านั้นที่จะสามารถรับเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ แท้จริงแล้ว การเลีย การงับ ก็เป็นความเสี่ยงทั้งสิ้น เพราะในสารคัดหลั่งจากสัตว์ เช่นน้ำลายก็สามารถพบเชื้อและติดต่อผ่านเยื่อเมือก บาดแผลเปิดได้ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ทำการประเมินความเสี่ยงการรับสัมผัส
อีกประเด็นที่สำคัญมากๆ คือการละเลยการไปตรวจและไปรับวัคซีนป้องกัน หลังสัมผัสโรค หรือไปรับไม่ครบ

ความสำคัญที่แพทย์จะเน้นกับผู้ป่วยเสมอคือ “ในช่วง 3 เข็มแรกของการฉีดวัคซีน (ภายใน 7 วัน) ไม่ควรเลื่อนนัดหรือผิดนัดการฉีดวัคซีน” เนื่องจากวัคซีนพิษสุนัขบ้า (rabies vaccine) หากเป็นการฉีดหลังการสัมผัสโรค (post-exposure prophylaxis) ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง หรือตามประวัติของสัตว์ที่กัดต่อไม่ได้ จำเป็นจะต้องฉีดให้ครบ 5 เข็ม (วันที่ 0, 3, 7, 14 และ 28 หรือ 30 หลังการสัมผัสโรค, เนื่องจากจะต้องให้ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงพอในวันที่ 14 หลังการฉีด)
เมื่อเป็นการฉีดหลายครั้ง พบว่าส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่มาตามนัด หรือเลื่อนนัด ซึ่ง มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า เป็นความเสี่ยงสูงมาก ในการเลื่อนนัดหรือฉีดวัคซีนไม่ครบตามกำหนด (โดยเฉพาะในช่วง 3 เข็มแรก) ซึ่งประเด็นนี้มีแจ้งไว้ในคู่มือการปฏิบัติงาน (ดูเอกสารอ้างอิง) และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะหากสัตว์ที่กัดมีเชื้อและรับวัคซีนไม่ครบถ้วน ก็อาจเกิดการเป็นโรคขึ้นมาภายหลังได้
นอกจากประเด็นเรื่องพิษสุนัขบ้าแล้วยังมีอีกโรคที่ต้องระวัง และอาจตามมาจากการถูกสัตว์กัดได้คือ โรคบาดทะยัก เพราะลักษณะการกัดที่มีแผลลึกแคบ มักจะเป็นแผลที่ไม่ค่อยมีออกซิเจนเข้าถึง ซึ่งเชื้อบาดทะยักเป็นเชื้อที่สามารถอยู่ในสภาพไร้ออกซิเจน (anaerobic) ได้ ปัญหาเรื่องการติดเชื้อบาดทะยักอาจตามมาภายหลังได้ ซึ่งในรายที่มีความเสี่ยงก็อาจจะต้องได้รับทั้งวัคซีนบาดทะยักและพิษสุนัขบ้าไปพร้อมกัน บางรายอาจรอดจากพิษสุนัขบ้า แต่มาตกม้าตายเพราะเรื่องบาดทะยักหรือแผลติดเชื้อรุนแรง
“สุนัขกัดต้องรีบแก้ ล้างแผลใส่ยา กักหมา หาหมอ ฉีดวัคซีนต่อให้ครบชุด”
(อ้างอิงจากแนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้าและคำถามที่พบบ่อย)
เอกสารอ้างอิง
กลุ่มโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้าและคำถามที่พบบ่อย. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์, 2559
กลุ่มโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์, 2560
HFOCUS. กรมควบคุมโรค เร่งกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า หลังพบสัตว์ติดเชื้อสูงกว่าปีที่แล้ว 1.5 เท่า [online]. Available at: https://www.hfocus.org/content/2018/03/15496. Accessed on Mar 5, 2018.
(ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com)
ในระยะนี้ หลายคนอาจได้ข่าวเรื่องมีผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งหลายคนอาจมองเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วว่า หน้าร้อนก็ต้องมีหมาบ้า แต่แท้จริงแล้ว โรคพิษสุนัขบ้า พบได้ทุกฤดูกาล ทุกคนมีความเสี่ยงในการสัมผัสโรคและเกิดโรคได้ทั้งสิ้น โรคพิษสุนัขบ้า นับว่าเป็นโรคที่มีอันตรายรุนแรง เพราะหากเมื่อเกิดอาการหลังสัมผัสโรคแล้วอัตราการตายคือ 100% แต่ข่าวดีคือโรคนี้สามารถป้องกันด้วยวัคซีน
แม้เราจะมีวัคซีนหลากหลายยี่ห้อ และมีอิมมูโนโกลบูลิน (Rabies Immunoglobulin; RIG) ที่มีประสิทธิภาพสูง กระนั้นก็ยังมีผู้ที่ต้องเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าอยู่เสมอๆ และหากใครติดตามข่าว ล่าสุดจะพบว่า ในปี 2561 สองเดือนแรกมีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายราย และพบสัตว์ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าไปแล้ว 251 ตัว สูงกว่าระยะเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว 1.5 เท่า ทำให้สถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้า ยังมีความน่าเป็นห่วง
ประเด็นของสถานการณ์โรคพิษสุนัขบ้าที่ยังไม่ทุเลา มาจากความเข้าใจผิดและการปฏิบัติตัวของผู้ที่สัมผัสโรค เช่น
เข้าใจผิดว่า เฉพาะสุนัขและแมวเท่านั้นที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ แท้จริงแล้ว สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด สามารถนำโรคพิษสุนัขบ้ามาสู่มนุษย์ได้ (แต่ยังไม่มีรายงานการติดต่อจากมนุษย์สู่มนุษย์ในกรณีที่เป็นการติดโรคตามธรรมชาติ)
เข้าใจผิดว่า สัตว์ที่เลี้ยงในบ้านไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคพิษสุนัขบ้า แท้จริงแล้ว สัตว์มีความเสี่ยงในการไปกัดกับสัตว์อื่น หรือถูกสัตว์อื่นกัดและได้รับเชื้อมา
เข้าใจผิดว่า เฉพาะการกัดมีเลือดออกเท่านั้นที่จะสามารถรับเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ แท้จริงแล้ว การเลีย การงับ ก็เป็นความเสี่ยงทั้งสิ้น เพราะในสารคัดหลั่งจากสัตว์ เช่นน้ำลายก็สามารถพบเชื้อและติดต่อผ่านเยื่อเมือก บาดแผลเปิดได้ ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้ทำการประเมินความเสี่ยงการรับสัมผัส
อีกประเด็นที่สำคัญมากๆ คือการละเลยการไปตรวจและไปรับวัคซีนป้องกัน หลังสัมผัสโรค หรือไปรับไม่ครบ
ความสำคัญที่แพทย์จะเน้นกับผู้ป่วยเสมอคือ “ในช่วง 3 เข็มแรกของการฉีดวัคซีน (ภายใน 7 วัน) ไม่ควรเลื่อนนัดหรือผิดนัดการฉีดวัคซีน” เนื่องจากวัคซีนพิษสุนัขบ้า (rabies vaccine) หากเป็นการฉีดหลังการสัมผัสโรค (post-exposure prophylaxis) ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง หรือตามประวัติของสัตว์ที่กัดต่อไม่ได้ จำเป็นจะต้องฉีดให้ครบ 5 เข็ม (วันที่ 0, 3, 7, 14 และ 28 หรือ 30 หลังการสัมผัสโรค, เนื่องจากจะต้องให้ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงพอในวันที่ 14 หลังการฉีด)
เมื่อเป็นการฉีดหลายครั้ง พบว่าส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไม่มาตามนัด หรือเลื่อนนัด ซึ่ง มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่า เป็นความเสี่ยงสูงมาก ในการเลื่อนนัดหรือฉีดวัคซีนไม่ครบตามกำหนด (โดยเฉพาะในช่วง 3 เข็มแรก) ซึ่งประเด็นนี้มีแจ้งไว้ในคู่มือการปฏิบัติงาน (ดูเอกสารอ้างอิง) และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะหากสัตว์ที่กัดมีเชื้อและรับวัคซีนไม่ครบถ้วน ก็อาจเกิดการเป็นโรคขึ้นมาภายหลังได้
นอกจากประเด็นเรื่องพิษสุนัขบ้าแล้วยังมีอีกโรคที่ต้องระวัง และอาจตามมาจากการถูกสัตว์กัดได้คือ โรคบาดทะยัก เพราะลักษณะการกัดที่มีแผลลึกแคบ มักจะเป็นแผลที่ไม่ค่อยมีออกซิเจนเข้าถึง ซึ่งเชื้อบาดทะยักเป็นเชื้อที่สามารถอยู่ในสภาพไร้ออกซิเจน (anaerobic) ได้ ปัญหาเรื่องการติดเชื้อบาดทะยักอาจตามมาภายหลังได้ ซึ่งในรายที่มีความเสี่ยงก็อาจจะต้องได้รับทั้งวัคซีนบาดทะยักและพิษสุนัขบ้าไปพร้อมกัน บางรายอาจรอดจากพิษสุนัขบ้า แต่มาตกม้าตายเพราะเรื่องบาดทะยักหรือแผลติดเชื้อรุนแรง
“สุนัขกัดต้องรีบแก้ ล้างแผลใส่ยา กักหมา หาหมอ ฉีดวัคซีนต่อให้ครบชุด”
(อ้างอิงจากแนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้าและคำถามที่พบบ่อย)
หมายเหตุ : Pharmchompoo เป็นนามปากกาของเภสัชกรท่านหนึ่งซึ่งเรียนจบมาทางด้านเภสัชศาสตร์โดยตรง ปัจจุบันประจำอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง และบทความเชิงสาระความรู้เพื่อการตระหนักเกี่ยวกับการใช้ยาให้ถูกต้องเหมาะสม จะมาพบกับคุณผู้อ่านเป็นประจำอย่างน้อยสองครั้งต่อเดือน |
เอกสารอ้างอิง
กลุ่มโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้าและคำถามที่พบบ่อย. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์, 2559
กลุ่มโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคพิษสุนัขบ้า. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์, 2560
HFOCUS. กรมควบคุมโรค เร่งกำจัดโรคพิษสุนัขบ้า หลังพบสัตว์ติดเชื้อสูงกว่าปีที่แล้ว 1.5 เท่า [online]. Available at: https://www.hfocus.org/content/2018/03/15496. Accessed on Mar 5, 2018.
(ขอบคุณภาพจาก Pixabay.com)