ได้จังหวะเข้าสู่ช่วงปี พ.ศ.ใหม่ ใช้ปฏิทินและไดอารี่เล่มใหม่ เชื่อว่าคุณผู้อ่านคิดใฝ่ดีและมุ่งหวังความสำเร็จในชีวิตและการงานคงเตรียมวางแผนดำเนินการไปสู่เป้าหมายที่ดีนะครับ
ผมจึงขอแบ่งปันสาระเรื่องนี้มอบเป็นของขวัญแด่ทุกท่านเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างผลลัพธ์ (Outcome) การใช้ชีวิตและการงานอาชีพที่มีความหมาย “คุณค่า” และ “มูลค่า”
The Power of Less เด่นดังมาตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกก็ทะยานขึ้นติดอันดับหนังสือขายดีของ Amazon.com และยังครองตำแหน่งยอดนิยมในหมวดบริหารธุรกิจมาจนทุกวันนี้
ชื่อพากย์ไทยของหนังสือที่ใช้วลีว่า “ทำน้อยให้ได้มาก” จึงเป็นประเด็นโดนใจสำหรับคนที่สนใจเรื่อง “ประสิทธิภาพ” แน่ๆ
“เพราะการทำมาก ไม่ได้หมายถึงผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นเสมอไป” ทำนองว่า “อย่าโง่แล้วขยันจะดีกว่า”
อย่างที่มีถ้อยคำขยายความบนปกหนังสือว่า....
เพราะทุกวันนี้ในสังคมธุรกิจ ผู้คนจำนวนมากต้องยุ่งเหยิงจนเคร่งเครียดจากข้อมูลและธุรกรรมหรือภารกิจมากมายไม่สำคัญจำนวนมากแทรกเข้ามา โดยที่มีเรื่องไม่สำคัญจำนวนมากแทรกเข้ามา
ประเด็นท้าทายก็คือ ทำอย่างไร เราจะมีชีวิตที่เรียบง่ายขึ้นและสามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการได้
คำตอบสรุปง่ายๆ อยู่ที่การใช้เวลาเกิดประโยชน์สูงสุด จึงต้องเลือกและมุ่งมั่นจดจ่อทำงานหรือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ทำหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
6 กระบวนท่าของกลยุทธ์ “ทำน้อยให้ได้มาก” ได้แก่
(1) ตระหนักรู้ข้อจำกัด
(2) เลือกทำแต่สิ่งสำคัญ
(3) ทำให้เรียบง่ายขึ้น
(4) จดจำกับเรื่องเดียว
(5) สร้างนิสัยใหม่
(6) เริ่มจากสิ่งเล็กๆ - ทำทีละน้อย
หลักสำคัญ 2 ข้อแรก นับเป็นหัวใจของการนำไปสู่ “การทำน้อยให้ได้มาก” นั้นได้เรียนรู้จากบทกวี “ไฮกุ”คำประพันธ์โบราณของญี่ปุ่น ซึ่งบรรยายความประทับใจที่มีต่อธรรมชาติและมนุษย์
1. ตระหนักรู้ข้อจำกัด
เพราะข้อจำกัดของบทกวี “ไฮกุ” ที่กำหนดให้หนึ่งบทมีเพียง 17 พยางค์และจบภายใน 3 บรรทัด เริ่มจาก 5 พยางค์ 7 พยางค์ และ 5 พยางค์ ตามลำดับ มีพื้นฐานเรียบง่าย ใช้คำง่ายๆ ไม่บังคับฉันทลักษณ์ แต่ต้องจบแบบหักมุมคิด
การมีข้อจำกัด (เช่นเวลาและทรัพยากร) ทำให้จำเป็นต้องเลือกแต่สิ่งสำคัญจริงๆ ดังนั้น ควรกำหนดและตระหนักรู้ข้อจำกัดในทุกเรื่องที่เราจะทำ เพื่อใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุดและกำจัดสิ่งที่ไม่สำคัญให้ลดลง
การตระหนักรู้หรือการกำหนดข้อจำกัดให้กับทุกเรื่องมีประโยชน์มาก เช่น
• ทำให้เกิดความเรียบง่าย ไม่ยุ่งเหยิง
• จดจ่อไม่กี่เรื่อง
• พุ่งเป้าไปที่สิ่งสำคัญ
• ช่วยให้งานสำเร็จ
• ทำให้งานมีประสิทธิภาพ
2. เลือกทำแต่สิ่งสำคัญ
ด้วยเงื่อนไขและทรัพยากรจำกัด ก็ต้องใช้พลังและเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และควรสร้างผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Impact) มากที่สุด เช่น
• สร้างชื่อเสียง (Reputation) ในระยะยาว
• สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
• เป็นประโยชน์ต่อองค์กรในแง่รายได้ ชื่อเสียงหรือโอกาสทางการตลาดและอื่นๆ
• สร้างการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงานที่ก้าวหน้า
• เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
การจะชี้วัดงานใดจะสร้างผลกระทบขนาดไหนหรือไม่ ก็ต้องตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบงานที่จะทำว่าส่งผลลัพธ์ที่ดีเหล่านั้นหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างการเริ่มต้นปีใหม่ ก็น่าจะระบุเป้าหมาย (Goal) ที่อยากทำให้สำเร็จภายในปี 2561 เช่นมีเป้าหมายระยะยาวสัก 3 อย่าง เช่น การงาน, การเงิน, สุขภาพ
เมื่อมีการแตกเป้าใหญ่เป็นเป้าย่อยรายเดือนหรือราย 3 เดือน เพื่อสามารถวัดความก้าวหน้า
การเลือกงานสำคัญในแต่ละวันหรือสัปดาห์ก็จะเห็นชัดว่างานที่ทำนั้นได้ช่วยให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ นี่แหละคือ งานที่สร้างผลกระทบหรือไม่
3. ทำให้เรียบง่ายขึ้น
การเลือกทำแต่สิ่งสำคัญ และพยายามลด-เลิกสิ่งที่ไม่สำคัญทั้งโครงการ งาน ภาระหน้าที่และข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามา นี่เป็นหนทางไปสู่การทำให้เรียบง่ายขึ้น
การระบุได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อน จึงเป็นขั้นตอนแรก การทำให้สิ่งต่างๆ เรียบง่ายขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ด้วยการกำจัดงานที่ไม่สำคัญออกจากรายการภารกิจให้ออกไปมากที่สุด
ขณะที่คนอื่นอาจต้องการให้คุณทำบางอย่างที่คุณคิดว่าไม่สำคัญ ดังนั้น คุณต้องรู้จักพูดคำว่า “ไม่” เพราะตอนนี้ไม่มีเวลาเหลือให้กับงานอื่น
4. การจดจ่อกับเรื่องเดียว
การจดจ่อเพื่อทำให้งานน้อยลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น การมุ่งเป้าหมายเดียวหรือทำงานทีละอย่าง เพื่อทำให้สำเร็จ สนใจกับงานเดียวที่อยู่ตรงหน้า คือการจดจำกับปัจจุบัน เพื่อลดความกังวลและไม่ตึงเครียด
5. สร้างนิสัยใหม่
จะเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีผลต่อชีวิตจะดีขึ้นแน่ เพราะได้นิสัยที่ดีเกิดขึ้นถาวร
1) แต่ละเดือนให้จดจ่อกับนิสัย 1 อย่าง ที่เลือกเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตมากที่สุดแล้วทุ่มเทพลังไปกับการสร้างนิสัยนั้นภายใน 30 วัน
2) เขียนแผนการสร้างนิสัย โดยระบุเป้าหมายที่จะทำแต่ละวัน ใช้เหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับนิสัยที่ต้องการทำเป็นกิจวัตร เช่นจะออกกำลังการทันทีที่แปรงฟันเสร็จ
กลเม็ดหนึ่งที่เป็นพลังช่วยการสร้างนิสัยใหม่ได้คือ “การพิชิตคำท้า” โดยปอกเป้าหมายให้คนใกล้ชิดรับรู้และแสดงความมุ่งมั่น ความรับผิดชอบที่จะพิชิตความท้าทายให้ได้ใน 30 วัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่...
• จดจ่อกับนิสัยทีละอย่าง
• เลือกเป้าหมายง่ายๆ ก่อน เช่น เช็กอีเมล์แค่วันละ 2 ครั้ง ออกกำลังกายวันละ 5-10 นาที
• เลือกสิ่งที่วัดผลได้
• มีความเสมอต้นเสมอปลาย
• รายงานผลทุกวัน
6. เริ่มต้นทีละน้อย
หลักข้อนี้ ควรนำไปใช้กับทุกอย่างที่ทำไม่ว่าการพิชิตเป้าหมาย และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชีวิตคุณ จะได้ผลแน่นอน
• ช่วยจำกัดขอบเขตความสนใจ ส่งผลให้คุณมีอำนาจควบคุมมากขึ้น
• ช่วยเพิ่มพลังและความกระตือรือร้นในระยะยาว จากการเริ่มต้นทำให้น้อยกว่าที่คุณทำได้จริง
• รับมือได้ง่ายกว่า
• เป็นหลักประกันว่าจะประสบความสำเร็จ
• ตัวอย่างการใช้วิธีนี้ เช่น ออกกำลังกายตื่นนอนแต่เช้า ใช้อีเมล์อย่างมีประสิทธิภาพ กินอาหารเพื่อสุขภาพ เริ่มโครงการสำคัญ จัดระเบียบสถานที่
หลักคิดและแนวปฏิบัติเหล่านี้ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้ว จนตกผลึกเป็นวิธีการ “ทำน้อยให้ได้มาก” เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีด้านต่างๆ ของชีวิต
จากคอลัมน์ Inspiration
โดย ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล (suwatmgr@gmail.com)
เซกชั่น Good Health & Well Being
นิตยสารผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 17 ธ.ค.2560
ผมจึงขอแบ่งปันสาระเรื่องนี้มอบเป็นของขวัญแด่ทุกท่านเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างผลลัพธ์ (Outcome) การใช้ชีวิตและการงานอาชีพที่มีความหมาย “คุณค่า” และ “มูลค่า”
The Power of Less เด่นดังมาตั้งแต่จัดพิมพ์ครั้งแรกก็ทะยานขึ้นติดอันดับหนังสือขายดีของ Amazon.com และยังครองตำแหน่งยอดนิยมในหมวดบริหารธุรกิจมาจนทุกวันนี้
ชื่อพากย์ไทยของหนังสือที่ใช้วลีว่า “ทำน้อยให้ได้มาก” จึงเป็นประเด็นโดนใจสำหรับคนที่สนใจเรื่อง “ประสิทธิภาพ” แน่ๆ
“เพราะการทำมาก ไม่ได้หมายถึงผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นเสมอไป” ทำนองว่า “อย่าโง่แล้วขยันจะดีกว่า”
อย่างที่มีถ้อยคำขยายความบนปกหนังสือว่า....
เพราะทุกวันนี้ในสังคมธุรกิจ ผู้คนจำนวนมากต้องยุ่งเหยิงจนเคร่งเครียดจากข้อมูลและธุรกรรมหรือภารกิจมากมายไม่สำคัญจำนวนมากแทรกเข้ามา โดยที่มีเรื่องไม่สำคัญจำนวนมากแทรกเข้ามา
ประเด็นท้าทายก็คือ ทำอย่างไร เราจะมีชีวิตที่เรียบง่ายขึ้นและสามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการได้
คำตอบสรุปง่ายๆ อยู่ที่การใช้เวลาเกิดประโยชน์สูงสุด จึงต้องเลือกและมุ่งมั่นจดจ่อทำงานหรือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ทำหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน
6 กระบวนท่าของกลยุทธ์ “ทำน้อยให้ได้มาก” ได้แก่
(1) ตระหนักรู้ข้อจำกัด
(2) เลือกทำแต่สิ่งสำคัญ
(3) ทำให้เรียบง่ายขึ้น
(4) จดจำกับเรื่องเดียว
(5) สร้างนิสัยใหม่
(6) เริ่มจากสิ่งเล็กๆ - ทำทีละน้อย
หลักสำคัญ 2 ข้อแรก นับเป็นหัวใจของการนำไปสู่ “การทำน้อยให้ได้มาก” นั้นได้เรียนรู้จากบทกวี “ไฮกุ”คำประพันธ์โบราณของญี่ปุ่น ซึ่งบรรยายความประทับใจที่มีต่อธรรมชาติและมนุษย์
1. ตระหนักรู้ข้อจำกัด
เพราะข้อจำกัดของบทกวี “ไฮกุ” ที่กำหนดให้หนึ่งบทมีเพียง 17 พยางค์และจบภายใน 3 บรรทัด เริ่มจาก 5 พยางค์ 7 พยางค์ และ 5 พยางค์ ตามลำดับ มีพื้นฐานเรียบง่าย ใช้คำง่ายๆ ไม่บังคับฉันทลักษณ์ แต่ต้องจบแบบหักมุมคิด
การมีข้อจำกัด (เช่นเวลาและทรัพยากร) ทำให้จำเป็นต้องเลือกแต่สิ่งสำคัญจริงๆ ดังนั้น ควรกำหนดและตระหนักรู้ข้อจำกัดในทุกเรื่องที่เราจะทำ เพื่อใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุดและกำจัดสิ่งที่ไม่สำคัญให้ลดลง
การตระหนักรู้หรือการกำหนดข้อจำกัดให้กับทุกเรื่องมีประโยชน์มาก เช่น
• ทำให้เกิดความเรียบง่าย ไม่ยุ่งเหยิง
• จดจ่อไม่กี่เรื่อง
• พุ่งเป้าไปที่สิ่งสำคัญ
• ช่วยให้งานสำเร็จ
• ทำให้งานมีประสิทธิภาพ
2. เลือกทำแต่สิ่งสำคัญ
ด้วยเงื่อนไขและทรัพยากรจำกัด ก็ต้องใช้พลังและเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และควรสร้างผลลัพธ์หรือผลกระทบ (Impact) มากที่สุด เช่น
• สร้างชื่อเสียง (Reputation) ในระยะยาว
• สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
• เป็นประโยชน์ต่อองค์กรในแง่รายได้ ชื่อเสียงหรือโอกาสทางการตลาดและอื่นๆ
• สร้างการเปลี่ยนแปลงในหน้าที่การงานที่ก้าวหน้า
• เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม
การจะชี้วัดงานใดจะสร้างผลกระทบขนาดไหนหรือไม่ ก็ต้องตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบงานที่จะทำว่าส่งผลลัพธ์ที่ดีเหล่านั้นหรือไม่
โดยเฉพาะอย่างการเริ่มต้นปีใหม่ ก็น่าจะระบุเป้าหมาย (Goal) ที่อยากทำให้สำเร็จภายในปี 2561 เช่นมีเป้าหมายระยะยาวสัก 3 อย่าง เช่น การงาน, การเงิน, สุขภาพ
เมื่อมีการแตกเป้าใหญ่เป็นเป้าย่อยรายเดือนหรือราย 3 เดือน เพื่อสามารถวัดความก้าวหน้า
การเลือกงานสำคัญในแต่ละวันหรือสัปดาห์ก็จะเห็นชัดว่างานที่ทำนั้นได้ช่วยให้เข้าใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ นี่แหละคือ งานที่สร้างผลกระทบหรือไม่
3. ทำให้เรียบง่ายขึ้น
การเลือกทำแต่สิ่งสำคัญ และพยายามลด-เลิกสิ่งที่ไม่สำคัญทั้งโครงการ งาน ภาระหน้าที่และข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามา นี่เป็นหนทางไปสู่การทำให้เรียบง่ายขึ้น
การระบุได้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ต้องทำก่อน จึงเป็นขั้นตอนแรก การทำให้สิ่งต่างๆ เรียบง่ายขึ้นและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ด้วยการกำจัดงานที่ไม่สำคัญออกจากรายการภารกิจให้ออกไปมากที่สุด
ขณะที่คนอื่นอาจต้องการให้คุณทำบางอย่างที่คุณคิดว่าไม่สำคัญ ดังนั้น คุณต้องรู้จักพูดคำว่า “ไม่” เพราะตอนนี้ไม่มีเวลาเหลือให้กับงานอื่น
4. การจดจ่อกับเรื่องเดียว
การจดจ่อเพื่อทำให้งานน้อยลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น การมุ่งเป้าหมายเดียวหรือทำงานทีละอย่าง เพื่อทำให้สำเร็จ สนใจกับงานเดียวที่อยู่ตรงหน้า คือการจดจำกับปัจจุบัน เพื่อลดความกังวลและไม่ตึงเครียด
5. สร้างนิสัยใหม่
จะเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีผลต่อชีวิตจะดีขึ้นแน่ เพราะได้นิสัยที่ดีเกิดขึ้นถาวร
1) แต่ละเดือนให้จดจ่อกับนิสัย 1 อย่าง ที่เลือกเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตมากที่สุดแล้วทุ่มเทพลังไปกับการสร้างนิสัยนั้นภายใน 30 วัน
2) เขียนแผนการสร้างนิสัย โดยระบุเป้าหมายที่จะทำแต่ละวัน ใช้เหตุการณ์ที่เชื่อมโยงกับนิสัยที่ต้องการทำเป็นกิจวัตร เช่นจะออกกำลังการทันทีที่แปรงฟันเสร็จ
กลเม็ดหนึ่งที่เป็นพลังช่วยการสร้างนิสัยใหม่ได้คือ “การพิชิตคำท้า” โดยปอกเป้าหมายให้คนใกล้ชิดรับรู้และแสดงความมุ่งมั่น ความรับผิดชอบที่จะพิชิตความท้าทายให้ได้ใน 30 วัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเพียงแต่...
• จดจ่อกับนิสัยทีละอย่าง
• เลือกเป้าหมายง่ายๆ ก่อน เช่น เช็กอีเมล์แค่วันละ 2 ครั้ง ออกกำลังกายวันละ 5-10 นาที
• เลือกสิ่งที่วัดผลได้
• มีความเสมอต้นเสมอปลาย
• รายงานผลทุกวัน
6. เริ่มต้นทีละน้อย
หลักข้อนี้ ควรนำไปใช้กับทุกอย่างที่ทำไม่ว่าการพิชิตเป้าหมาย และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชีวิตคุณ จะได้ผลแน่นอน
• ช่วยจำกัดขอบเขตความสนใจ ส่งผลให้คุณมีอำนาจควบคุมมากขึ้น
• ช่วยเพิ่มพลังและความกระตือรือร้นในระยะยาว จากการเริ่มต้นทำให้น้อยกว่าที่คุณทำได้จริง
• รับมือได้ง่ายกว่า
• เป็นหลักประกันว่าจะประสบความสำเร็จ
• ตัวอย่างการใช้วิธีนี้ เช่น ออกกำลังกายตื่นนอนแต่เช้า ใช้อีเมล์อย่างมีประสิทธิภาพ กินอาหารเพื่อสุขภาพ เริ่มโครงการสำคัญ จัดระเบียบสถานที่
หลักคิดและแนวปฏิบัติเหล่านี้ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้ว จนตกผลึกเป็นวิธีการ “ทำน้อยให้ได้มาก” เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีด้านต่างๆ ของชีวิต
ข้อมูลจากหนังสือ “ทำน้อยให้ได้มาก” ผู้เขียน : Leo Babuata ผู้แปล : วิกันดา พินทุวชิราภรณ์ สำนักพิมพ์ : We Learn |
แนะนำหนังสือ มะเร็งหายด้วยอาหาร ผู้เขียน : Takaho Watayo ผู้แปล : ชาญ ธนประกอบ สำนักพิมพ์ : Nanmeebook Adult ราคา 295 บาท การรักษามะเร็งแบบบูรณาการ คือใช้วิธีทางการแพทย์ เช่นการผ่าตัด เคมีบำบัด และการฉายรังสี ควบคู่ไปกับวิธีโภชนบำบัด และความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งกับอาหารการกิน บริหารเงินดี ชีวิตนี้ไม่มีวันจน ผู้เขียน : แอนนา นีเวลล์ โจนส์ ผู้แปล : ดรุณี แซ่ลิ่ว สำนักพิมพ์ : Amarin How To ราคา 275 บาท "แอนนา นีเวลล์ โจนส์" นำเสนอเทคนิคเหนือชั้นที่เรียกว่า "Spending Fast" ที่ทุกคนทำได้ เทคนิคนี้ช่วยให้แอนนาสามารถปลดหนี้จำนวน 23,605 $ ของเธอสลายไปในเวลาเพียง 15 เดือน ถึงตาคุณรวยบ้างแล้ว! ผู้เขียน : เจย์ สมิท ผู้แปล : จิราวรรณ สุขวิทยากุล สำนักพิมพ์ : Amarin How To ราคา 325 บาท คำแนะนำที่ยอดเยี่ยมเรื่องกลยุทธ์การแหวกกรอบ เพื่อเริ่มธุรกิจ ทำให้มันไปรอด และเติบโต และไม่วิ่งรั้งท้ายในยุคเศรษฐกิจที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง! เพราะเป็นผู้หญิงไม่แคร์ใคร ฉันจึงได้เป็นนายคน ผู้เขียน : Sophoa Amoruso สำนักพิมพ์ : We Learn ราคา 240 บาท วิธีปลดล็อกตัวเองจาก "โซ่ตรวน" ทางความคิดที่คนอื่นสร้างไว้ รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรเพิกเฉยต่อเสียงของคนเหล่านั้น หันมาฟังเสียงของหัวใจ แล้วลงมือสร้างอนาคตในแบบที่ "ตัวคุณ" ต้องการอย่างแท้จริง! อัศวินผมขาว ผู้เขียน : ผศ. ดร.วีรณัฐ โรจนประภา สำนักพิมพ์ : สถาบันคิดใหม่ การต้องปรับเปลี่ยนตัวผู้สูงอายุเองให้ยังคงใช้ชีวิตอย่างมีพลัง หรือที่เรียกกันว่า “การเปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง” (แจกฟรี) |
จากคอลัมน์ Inspiration
โดย ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล (suwatmgr@gmail.com)
เซกชั่น Good Health & Well Being
นิตยสารผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 17 ธ.ค.2560