ผักผลไม้มากกว่าครึ่ง! มีสารกำจัดวัชพืชตกค้างเกินค่ามาตรฐาน โดยส่วนใหญ่เป็นพาราควอต ถั่วฝักยาว คะน้า ใบบัวบก กะเพรา พริกแดง องุ่น แก้วมังกร พบการตกค้างในระดับสูง
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีจำกัดศัตรูพืช (ไทยแพน) ได้แถลงผลการเฝ้าระวังสารพิษกำจัดศัตรูพืชประจำปี 2560 พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของผักและผลไม้มีสารกำจัดวัชพืชตกค้างเกินมาตรฐาน โดยส่วนใหญ่เป็นพาราควอต ซึ่งกระทรวงสาธารณะสุขเสนอแบนและไม่ให้มีการต่อทะเบียน
นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงาน จากเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีจำกัดศัตรูพืช (ไทยแพน) แถลงถึงผลการเฝ้าระวังผักและผลไม้ ซึ่งไทยแพนได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จากการเก็บตัวอย่างผักและผลไม้ทั่วประเทศจำนวน 150 ตัวอย่างจากการสุ่มตรวจ พบว่า ผักยอดนิยมทั่วไปมีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน 64% (ได้แก่ ถั่วฝักยาว คะน้า พริกแดง กะเพรา และกะหล่ำปลี) ผักพื้นบ้านยอดนิยม 43% (ได้แก่ ใบบัวบก ชะอม ตำลึง และสายบัว) และผลไม้ 33% (ได้แก่ องุ่น แก้วมังกร มะละกอ กล้วย มะพร้าว สับปะรด) ตามลำดับ โดยผักและผลไม้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ถั่วฝักยาว คะน้า ใบบัวบก กะเพรา พริกแดง องุ่น และแก้วมังกร เพราะพบการตกค้างเกินมาตรฐาน 7-9 จาก 10 ตัวอย่าง ซึ่งคลอบคลุม 9 ตลาดในจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น ปทุมธานี ราชบุรี และสงขลา รวมทั้งจากห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ 3 ห้าง และซูเปอร์มาร์เก็ต 4 แห่ง โดยภาพรวมมีสารปนเปื้อนในผักและผลไม้เกินมาตรฐานถึง 46% แต่ดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย
“อย่างไรก็ตามที่น่ากังวลที่สุดคือไทยแพนพบว่ามีสารเคมีหรือยาฆ่าหญ้าตกค้างในผักและผลไม้สูงถึง 55% จากทั้งหมด 76 ตัวอย่าง ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเท่าที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีการสุ่มตรวจหาสารพิษกลุ่มนี้อย่างจริงจังมาก่อนเลย โดยผลการตรวจพบพาราควอตตกค้างในระดับเกินมาตรฐานสูงถึง 38% จาก 76 ตัวอย่าง รองลงมาคือไกลโฟเซต พบ 6 ตัวอย่าง และอะทราซีน 4 ตัวอย่าง”
นางสาวกิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา ผู้ประสานงานโครงการรณรงค์ “กินเปลี่ยนโลก” มูลนิธิชีววิถี ซึ่งเข้าร่วมการเฝ้าระวังครั้งนี้ร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและเครือข่ายความมั่นคงทางอาหารใน 5 จังหวัด กล่าวว่า ก่อนการแถลงครั้งนี้ไทยแพนได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง พร้อมได้มอบข้อมูลทั้งหมดให้มีการดำเนินการตามขั้นตอน และกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน ได้แก่ สำนักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กรมวิชาการเกษตร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักอาหาร คณะกรรมการอาหารและยา กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ทั้งนี้หน่วยงานต่างๆ และผู้ประกอบการก็จะได้นำข้อมูลระบุแหล่งที่มา แหล่งผลิต และแหล่งจำหน่ายที่เป็นปัญหาต่อไป โดยเฉพาะการพบว่ายังมีการตรวจพบสารที่แบนและไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนแล้ว เช่น เมทามิโดฟอส อีพีเอ็น คาร์โบฟูราน และเมโทมิล รวมทั้งมีการพบว่าผักและผลไม้ราคาแพง ซึ่งประทับตรารับรองต่างๆ ยังมีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานในระดับสูงกว่าที่จะยอมรับได้
“ผลการตรวจครั้งนี้ยังเปิดเผยความจริง และชี้ให้เห็นได้ว่าปัญหาของยาฆ่าหญ้าได้กลายเป็นปัญหาระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคทุกคนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป” ผู้ประสานงานโครงการรณรงค์ “กินเปลี่ยนโลก” มูลนิธิชีววิถี กล่าว
นอกเหนือจากผลักดันให้หน่วยงานรัฐ และเอกชนแก้ไขปัญหาข้างต้นแล้ว เครือข่ายที่ติดตามสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้ประสานงานกับองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค และองค์กรสิ่งแวดล้อมหลายองค์กร ได้หารือกันจนได้ข้อยุติแล้วว่า จะร่วมกันฟ้องร้องกรมวิชาการเกษตร ซึ่งอนุญาตให้มีการต่อทะเบียนพาราควอต และเป็นไปได้ว่า อาจมีการต่อทะเบียนคลอร์ไพริฟอสด้วย ทั้งๆ ที่กระทรวงสาธารณะสุข และคณะทำงาน 4 กระทรวงหลักได้เสนอต่อกรมวิชาการเกษตรให้ยุติการต่อทะเบียน และดำเนินการแบนสารทั้ง 2 ชนิดดังกล่าว
ข้อมูลและภาพประกอบจาก : http://www.thaipan.org
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีจำกัดศัตรูพืช (ไทยแพน) ได้แถลงผลการเฝ้าระวังสารพิษกำจัดศัตรูพืชประจำปี 2560 พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของผักและผลไม้มีสารกำจัดวัชพืชตกค้างเกินมาตรฐาน โดยส่วนใหญ่เป็นพาราควอต ซึ่งกระทรวงสาธารณะสุขเสนอแบนและไม่ให้มีการต่อทะเบียน
นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงาน จากเครือข่ายเตือนภัยสารเคมีจำกัดศัตรูพืช (ไทยแพน) แถลงถึงผลการเฝ้าระวังผักและผลไม้ ซึ่งไทยแพนได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 จากการเก็บตัวอย่างผักและผลไม้ทั่วประเทศจำนวน 150 ตัวอย่างจากการสุ่มตรวจ พบว่า ผักยอดนิยมทั่วไปมีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน 64% (ได้แก่ ถั่วฝักยาว คะน้า พริกแดง กะเพรา และกะหล่ำปลี) ผักพื้นบ้านยอดนิยม 43% (ได้แก่ ใบบัวบก ชะอม ตำลึง และสายบัว) และผลไม้ 33% (ได้แก่ องุ่น แก้วมังกร มะละกอ กล้วย มะพร้าว สับปะรด) ตามลำดับ โดยผักและผลไม้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ถั่วฝักยาว คะน้า ใบบัวบก กะเพรา พริกแดง องุ่น และแก้วมังกร เพราะพบการตกค้างเกินมาตรฐาน 7-9 จาก 10 ตัวอย่าง ซึ่งคลอบคลุม 9 ตลาดในจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น ปทุมธานี ราชบุรี และสงขลา รวมทั้งจากห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ 3 ห้าง และซูเปอร์มาร์เก็ต 4 แห่ง โดยภาพรวมมีสารปนเปื้อนในผักและผลไม้เกินมาตรฐานถึง 46% แต่ดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย
“อย่างไรก็ตามที่น่ากังวลที่สุดคือไทยแพนพบว่ามีสารเคมีหรือยาฆ่าหญ้าตกค้างในผักและผลไม้สูงถึง 55% จากทั้งหมด 76 ตัวอย่าง ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเท่าที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีการสุ่มตรวจหาสารพิษกลุ่มนี้อย่างจริงจังมาก่อนเลย โดยผลการตรวจพบพาราควอตตกค้างในระดับเกินมาตรฐานสูงถึง 38% จาก 76 ตัวอย่าง รองลงมาคือไกลโฟเซต พบ 6 ตัวอย่าง และอะทราซีน 4 ตัวอย่าง”
นางสาวกิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา ผู้ประสานงานโครงการรณรงค์ “กินเปลี่ยนโลก” มูลนิธิชีววิถี ซึ่งเข้าร่วมการเฝ้าระวังครั้งนี้ร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและเครือข่ายความมั่นคงทางอาหารใน 5 จังหวัด กล่าวว่า ก่อนการแถลงครั้งนี้ไทยแพนได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง พร้อมได้มอบข้อมูลทั้งหมดให้มีการดำเนินการตามขั้นตอน และกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน ได้แก่ สำนักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กรมวิชาการเกษตร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักอาหาร คณะกรรมการอาหารและยา กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ทั้งนี้หน่วยงานต่างๆ และผู้ประกอบการก็จะได้นำข้อมูลระบุแหล่งที่มา แหล่งผลิต และแหล่งจำหน่ายที่เป็นปัญหาต่อไป โดยเฉพาะการพบว่ายังมีการตรวจพบสารที่แบนและไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนแล้ว เช่น เมทามิโดฟอส อีพีเอ็น คาร์โบฟูราน และเมโทมิล รวมทั้งมีการพบว่าผักและผลไม้ราคาแพง ซึ่งประทับตรารับรองต่างๆ ยังมีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานในระดับสูงกว่าที่จะยอมรับได้
“ผลการตรวจครั้งนี้ยังเปิดเผยความจริง และชี้ให้เห็นได้ว่าปัญหาของยาฆ่าหญ้าได้กลายเป็นปัญหาระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคทุกคนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป” ผู้ประสานงานโครงการรณรงค์ “กินเปลี่ยนโลก” มูลนิธิชีววิถี กล่าว
นอกเหนือจากผลักดันให้หน่วยงานรัฐ และเอกชนแก้ไขปัญหาข้างต้นแล้ว เครือข่ายที่ติดตามสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้ประสานงานกับองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค และองค์กรสิ่งแวดล้อมหลายองค์กร ได้หารือกันจนได้ข้อยุติแล้วว่า จะร่วมกันฟ้องร้องกรมวิชาการเกษตร ซึ่งอนุญาตให้มีการต่อทะเบียนพาราควอต และเป็นไปได้ว่า อาจมีการต่อทะเบียนคลอร์ไพริฟอสด้วย ทั้งๆ ที่กระทรวงสาธารณะสุข และคณะทำงาน 4 กระทรวงหลักได้เสนอต่อกรมวิชาการเกษตรให้ยุติการต่อทะเบียน และดำเนินการแบนสารทั้ง 2 ชนิดดังกล่าว
ข้อมูลและภาพประกอบจาก : http://www.thaipan.org