ปลายฝนต้นหนาวช่วงสภาพอุณหภูมิแปรปรวนร่างกายปรับตัวไม่ทันจนมีอาการไข้ เฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กๆ ลูกน้อยมักจะพบได้บ่อยใน ณ ตอนนี้ ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่ดูอาการอย่างถี่ถ้วน โรคไวรัส RSV ตัวการร้ายที่มักแฝงอาการมาในรูปแบบคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่อาจจะก่อให้เกิดอาการรุนแรงถึงขั้นปอดบวมหรือปอดอักเสบเสียชีวิตโดยที่เราไม่อาจรู้เนื้อรู้ตัว
เพราะเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ ในส่วนของหลอดลมเล็ก (bronchiole) และถุงลม (alveoli) ทำให้มีการสร้างสิ่งคัดหลั่ง เช่น เสมหะ ออกมาในปริมาณมาก และมีการหดตัวของหลอดลมเนื่องจากการบวมของเยื่อบุหลอดลมและทางเดินหายใจต่างๆ
“RSV” (Respiratory Syncytial Virus) หรือ “โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส” จึงเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ ส่งผลให้เด็กมีอาการหอบ เหนื่อย และหายใจลำบากได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญแพร่เชื้อติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็วผ่านทางการสัมผัส และยังไม่มียารักษา ทำให้มักอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนด้วยไวรัสชนิดอื่นๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่ เชื้อมัยโคพลาสมา เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ แทรกซ้อนร่วม หรือในเด็กเล็กที่อ่อนแอมากอาจมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว โดยอาจมีอาการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ หรือหายใจล้มเหลว
ข้อสังเกตอาการ
เมื่อมีไข้ไม่สบายจะมีอาการหอบเหนื่อย หายใจเร็วและหายใจแรงกว่าปกติ (เสียงหายใจครืดคราด) นอกจากนี้ยังมีมีเสียงหวีดในปอด (จากการที่เยื่อบุทางเดินหายใจบวมอักเสบและหลอดลมหดตัว) มีเสมหะมาก ไอโขลกๆ ตลอดเวลา ตัวเขียว ปลายนิ้วหรือปากเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำจากภาวะขาดออกซิเจน โดยปกติผู้ป่วยจะแสดงอาการหลังสัมผัสถูกเชื้อไวรัสในระยะเวลา 4-6 วัน แต่ในเด็กเล็กและทารกหลังสัมผัสกับเชื้อไวรัสในช่วง 2-8 วัน อาจมีอาการที่รุนแรงมากกว่า
การป้องกันโรค
หมั่นล้างมือบ่อยๆ แยกผู้ป่วยออกเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้กับคนอื่นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์จนกว่าจะหายเป็นปกติ นอกจากนี้ยังควรหมั่นทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงควันสูบบุหรี่ เพราะการสูดดมควันบุหรี่เข้าไปในขณะที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส RSV และพบอาการที่รุนแรงได้มากกว่า ทำความสะอาดของสิ่งของต่างๆ เป็นประจำ ในเด็กเล็กอย่างของเล่นหากพบว่าเด็กที่ป่วยมาเล่นของเล่นนั้นๆ ควรรีบทำการเช็ดล้างทันที
เพราะเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ ในส่วนของหลอดลมเล็ก (bronchiole) และถุงลม (alveoli) ทำให้มีการสร้างสิ่งคัดหลั่ง เช่น เสมหะ ออกมาในปริมาณมาก และมีการหดตัวของหลอดลมเนื่องจากการบวมของเยื่อบุหลอดลมและทางเดินหายใจต่างๆ
“RSV” (Respiratory Syncytial Virus) หรือ “โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส” จึงเป็นเชื้อไวรัสที่สามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ ส่งผลให้เด็กมีอาการหอบ เหนื่อย และหายใจลำบากได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญแพร่เชื้อติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็วผ่านทางการสัมผัส และยังไม่มียารักษา ทำให้มักอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนด้วยไวรัสชนิดอื่นๆ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่ เชื้อมัยโคพลาสมา เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ แทรกซ้อนร่วม หรือในเด็กเล็กที่อ่อนแอมากอาจมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว โดยอาจมีอาการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ หรือหายใจล้มเหลว
ข้อสังเกตอาการ
เมื่อมีไข้ไม่สบายจะมีอาการหอบเหนื่อย หายใจเร็วและหายใจแรงกว่าปกติ (เสียงหายใจครืดคราด) นอกจากนี้ยังมีมีเสียงหวีดในปอด (จากการที่เยื่อบุทางเดินหายใจบวมอักเสบและหลอดลมหดตัว) มีเสมหะมาก ไอโขลกๆ ตลอดเวลา ตัวเขียว ปลายนิ้วหรือปากเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำจากภาวะขาดออกซิเจน โดยปกติผู้ป่วยจะแสดงอาการหลังสัมผัสถูกเชื้อไวรัสในระยะเวลา 4-6 วัน แต่ในเด็กเล็กและทารกหลังสัมผัสกับเชื้อไวรัสในช่วง 2-8 วัน อาจมีอาการที่รุนแรงมากกว่า
การป้องกันโรค
หมั่นล้างมือบ่อยๆ แยกผู้ป่วยออกเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้กับคนอื่นอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์จนกว่าจะหายเป็นปกติ นอกจากนี้ยังควรหมั่นทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น ร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงควันสูบบุหรี่ เพราะการสูดดมควันบุหรี่เข้าไปในขณะที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส RSV และพบอาการที่รุนแรงได้มากกว่า ทำความสะอาดของสิ่งของต่างๆ เป็นประจำ ในเด็กเล็กอย่างของเล่นหากพบว่าเด็กที่ป่วยมาเล่นของเล่นนั้นๆ ควรรีบทำการเช็ดล้างทันที
